กลุ่มชาติพันธุ์ 4 แสนคนเฮ มท.เปิดยื่นขอสัญชาติไทย

 นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงกรณีการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติตามมติ ครม. 29 ตุลาคม 2567 ในวันที่ 30 มิถุนายน น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย รักษาราชการแทน รมว.มหาดไทย เตรียมประกาศกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติ และการสั่งให้คนที่เกิดในราชอาณาจักรไทยและไม่ได้รับสัญชาติไทย โดยมีบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ได้สัญชาติไทยเป็นการทั่วไป และจะมีผลใช้บังคับเมื่อประกาศราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 30 มิถุนายน เป็นต้นไป
นายอรรษิษฐ์กล่าวว่า การดำเนินการแก้ไขปัญหาสัญชาติตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ในสมัยของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ถือเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่มีการขับเคลื่อนเร่งรัดแก้ไขเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม กระทั่งได้รับคำชื่นชมจากองค์การระหว่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก และในขณะนี้รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เล็งเห็นความสำคัญของการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนระเบียบกฎหมาย มติ ครม.ดังกล่าวได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายชัดเจน คือ ชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน และได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติและมีข้อมูลในฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรไว้แล้ว อาทิ ภาพถ่ายใบหน้า ลายพิมพ์นิ้วมือ ประมาณ 1.4 แสนราย ไม่ใช่บุคคลต่างด้าวหรือผู้หลบหนีเข้าเมืองแต่อย่างใด

นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายการแก้ไขปัญหาสัญชาติตามมติ ครม.นี้ ได้แก่ 1.บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักร โดยมีบิดาหรือมารดาเป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับการสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติกลุ่มต่างๆ มีชื่อในทะเบียนบ้าน มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ขึ้นต้นหลักแรกด้วยเลข 6 และเลขหลักที่หกและเจ็ดเป็นเลข 50 ถึงเลข 72 รวมถึงคนที่มีบิดาหรือมารดาเป็นชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ มีชื่อในทะเบียนบ้าน มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ขึ้นต้นหลักแรกด้วยเลข 5 หรือเลข 8 ด้วย และ 2.บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักร โดยมีบิดาหรือมารดาได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2548 รวมถึงชาวมอแกน โดยคนกลุ่มนี้จะมีชื่อในทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ขึ้นต้นหลักแรกด้วยเลข 0 และเลขหลักที่หกและเจ็ดเป็นเลข 89 ในส่วนของคนต่างด้าวอื่นๆ อาทิ แรงงานต่างด้าว ผู้หนีภัยการสู้รบที่อาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวฯ และคนต่างด้าวทั่วไปที่มีพาสปอร์ต ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย และไม่มีสิทธิยื่นคำขอตามมติ ครม.นี้แต่อย่างใด นาย
อรรษิษฐ์กล่าว

นายอรรษิษฐ์ กล่าวว่า สำหรับบุคคลกลุ่มเป้าหมายทั้ง 2 กลุ่ม ที่มีความประสงค์จะขอมีสัญชาติไทย ต้องมีลักษณะเป็นไปตามเงื่อนไขของประกาศ และต้องปฏิบัติตามขั้นตอน โดยยื่นคำขอต่อนายทะเบียน กรณีมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นต่อผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กรณีมีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอใด ให้ยื่นต่อนายอำเภอนั้น

พรรคเพื่อไทย (พท.) นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรค พท. แถลงกรณีประกาศกระทรวงมหาดไทย (มท.) ให้สถานะสัญชาติไทยตามกฎหมาย มีผลบังคับใช้แล้วว่า กฎหมายฉบับนี้เป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน กฎเกณฑ์ใหม่จะให้ระยะเวลาดำเนินการให้สถานะบุคคลลดจากจำนวนวันเดิมคือ 270 วัน เหลือเพียง 5 วันเท่านั้น แต่ใครที่อพยพมาใหม่นั้นขอเรียนว่าไม่ได้ บุคคลที่จะครอบคลุมคือเป็นบุคคลอพยพเข้ามาก่อนปี 2542 และได้ทำทะเบียนประวัติไว้แล้ว มีประมาณ 3.4 แสนคน ได้รับสถานะเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและขอแปลงสัญชาติเป็นไทย มีถิ่นที่อยู่เกิน 5 ปี

นายดนุพร กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังครอบคลุมถึงบุตรของคนกลุ่มนี้ด้วย รวมแล้วอยู่ที่ราวๆ 4 แสนคน เป็นการให้สัญชาติกับประชาชน อาจจะเป็นชาวเผ่า ชาวเขา ไม่เคยได้สัญชาติและไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลของประเทศไทยได้ ทั้งที่เขาเป็นคนไทย เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องนี้ตั้งต้นมาตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี กระทั่งมาถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อีกทั้งยูเอ็นก็ได้ชื่นชมการแก้ปัญหาการให้สัญชาติของประเทศไทยกับคนกลุ่มนี้ ถือเป็นการให้สัญชาติผู้ไร้สัญชาติมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก และต้องขอแสดงความยินดีด้วย