รัฐสมรภูมิที่อาจตัดสินอนาคตผู้นำประเทศ

ในวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสหรัฐฯ กว่า 240 ล้านคน เตรียมออกไปลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกประธานาธิบดีคนใหม่ แต่ไม่ใช่ทุกเสียงที่จะเป็นตัวตัดสินอนาคตของสหรัฐฯ เพราะการเลือกตั้งในสหรัฐฯ มักถูกตัดสินโดยกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใน "รัฐสวิงสเตท" หรือ "รัฐสมรภูมิ" ซึ่งผลคะแนนระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีความสูสีอย่างมาก ทำให้คาดการณ์ผู้ชนะได้ยาก รัฐเหล่านี้มักจะเปลี่ยนขั้วในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง และในปี 2024 มีทั้งหมด 7 รัฐที่ถูกจับตามอง ได้แก่ แอริโซนา, จอร์เจีย, เนวาดา, นอร์ทแคโรไลนา, เพนซิลเวเนีย, มิชิแกน และวิสคอนซิน

รัฐสมรภูมิที่น่าจับตามอง ประกอบด้วย 
1.แอริโซนา (คณะผู้เลือกตั้ง 11 คน) พรรครีพับลิกันไม่เคยชนะการเลือกตั้ง คว้าชัยในแอริโซนา ทำให้รัฐนี้มีความสำคัญอย่างมาก การควบคุมผู้อพยพและสิทธิ์การทำแท้งเป็นประเด็นร้อนที่อาจเปลี่ยนทิศทางการโหวตครั้งนี้

2.จอร์เจีย (คณะผู้เลือกตั้ง 16 คน) ประชากรแอฟริกันอเมริกันที่มีอยู่มาก อาจเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกตั้ง หาก น.ส.แฮร์ริส สามารถดึงดูดคะแนนจากพวกเขาได้ เธออาจสร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ

3.มิชิแกน (คณะผู้เลือกตั้ง 15 คน) มิชิแกนมีประชากรอาหรับ-อเมริกันมากที่สุดในสหรัฐฯ ซึ่งนโยบายต่างประเทศเกี่ยวกับอิสราเอลของทั้งสองพรรคอาจเป็นตัวแปรสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้

4.เนวาดา (คณะผู้เลือกตั้ง 6 คน) อัตราว่างงานที่สูงและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้าอาจเปิดโอกาสให้รีพับลิกันคว้าชัย แต่ชาวเนวาดามักเอนเอียงไปทางเดโมแครต ทำให้การแข่งขันในรัฐนี้ยังคงสูสี

5.นอร์ทแคโรไลนา (คณะผู้เลือกตั้ง 16 คน) ความเสียหายจากพายุเฮอริเคนล่าสุด และการบรรเทาภัยพิบัติที่ล่าช้าของรัฐบาลไบเดนอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของพรรคเดโมแครตที่นี่

6.เพนซิลเวเนีย (คณะผู้เลือกตั้ง 19 คน)  ปัญหาค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อทำให้ชาวเพนซิลเวเนียกังวลมากที่สุด ซึ่งอาจเป็นโอกาสให้ทรัมป์คว้าชัยชนะในรัฐนี้ได้

7.วิสคอนซิน (คณะผู้เลือกตั้ง 16 คน) วิสคอนซินเคยโหวตให้ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งมาตลอด 4 ครั้งที่ผ่านมา และเป็นรัฐที่มีบทบาทสำคัญในการตัดสินประธานาธิบดีครั้งนี้

การเลือกตั้งในสหรัฐฯ ครั้งนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการแข่งขันที่ดุเดือดในรัฐสมรภูมิ ผู้สมัครจากทั้งสองพรรคต่างพยายามชิงคะแนนจากรัฐเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะได้เป็นผู้นำคนต่อไปของสหรัฐฯ

Cr.Reuters / BBC