‘ทนายบอสพอล’ให้การเพิ่มกรณีคลิปเสียง‘นักร้องสาว ก.’ ด้าน‘โค้ชแล็ป’ยันไม่มีการเรียกรับเงิน 9 ล้านจากตำรวจ ส่วนสำนักงาน‘ดิไอคอน’ยังไม่ปิด แค่ย้ายที่ทำการ ลดค่าไฟ

1 พฤศจิกายน 2567 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล หรือ “บอสพอล” เข้าให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับกรณีไฟล์เสียงของ “นักร้อง ก.” ที่ได้ยื่นหลักฐานให้พนักงานสอบสวนไปแล้วก่อนหน้านี้

นายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า วันนี้มาดำเนินการเกี่ยวกับนักร้องสาวให้เสร็จสิ้น หลังจากที่ค้างคามานาน โดยวันนี้เป็นการเดินทางมาให้การเพิ่มเติม หลังจากที่ส่งคลิปเสียงให้กับเจ้าหน้าที่ไปแล้ว โดยในวันนี้ตนจะให้การตามไฟล์เสียงว่าบุคคลในคลิปเสียงหมายถึงใคร และเข้าข้อหาอะไร ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยจะต้องไปถาม บอสพอล กับ น.ส.ปัญจรัศม์ หรือบอสปัน ในเรือนจำ ซึ่งหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าไปสอบพยานในเรือนจำต่อ

นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า วันนี้คาดว่ามีทีมทนายอีกชุดหนึ่งที่ได้รับมอบอำนาจ จะเข้าแจ้งความเอาผิดนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจากนายเอกภพ มีการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก และพยานเท็จที่นำมาให้การกับตำรวจในข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งขณะนี้ทราบชื่อของพยานที่นายเอกภพ พามาแล้ว โดยเป็นการสืบหาเอง ไม่ได้รู้จักพยานเท็จคนดังกล่าวแต่อย่างใด และพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ส่วนจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับนายเอกภพหรือไม่นั้น ตนเองไม่ทราบ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีแม่ของ บอสพอล เป็นผู้ถือหุ้นใน ดิ ไอคอน กรุ๊ป แต่ไม่โดนคดีอะไรนั้น นายวิฑูรย์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวเป็นคนละเรื่องกัน เป็นเพียงคนถือหุ้น ไม่มีความผิด

นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานมูลนิธิชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม อ้างว่ามีตำรวจกองปราบเรียกรับเงินจำนวน 9 ล้านบาท จากนายจิระวัฒน์ หรือโค้ชแล็ปนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากตนได้สอบถามโค้ชแล็ปแล้ว ยืนยันว่าไม่มีตำรวจคนใดมาเรียกรับผลประโยชน์ รวมถึงทนายความและภรรยาของโค้ชแล็ป ต่างยืนยันว่าไม่เป็นความจริงด้วยเช่นกัน และขออย่าให้ไปพูดแบบนั้นเพราะตำรวจจะเสียหาย

ส่วนกรณีที่เพจเฟซบุ๊กของ ดิ ไอคอน กรุ๊ป โพสต์ว่าจะปิดตึกใหญ่ในโครงการนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า จริง โดยเป็นการปิดตึกสำนักงานใหญ่ให้ไปใช้พื้นที่ของไอคอน เฮ้าส์ คาเฟ่แทน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟ เนื่องจากขณะนี้บัญชีของบริษัทถูกอายัดและอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวก็ยังกังวลเรื่องการจ่ายเงินให้กับผู้ที่ร่วมทำธุรกิจเช่นกัน

“ยืนยันว่าการปิดสำนักงานใหญ่ไม่กระทบกับการดำเนินกิจการ ขณะนี้โรงงานยังคงผลิตสินค้าเพื่อส่งให้ลูกค้าตามออเดอร์ และเชื่อว่าไม่ได้กระทบภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของบริษัท ส่วนผู้เสียหายที่จะเข้ามาลงทะเบียนขอรับการเยียวยากับบริษัทนั้น ขณะนี้ขอปิดการลงทะเบียนชั่วคราวเพื่อตรวจสอบว่ารายชื่อที่ลงมาเบียน ใครบ้างที่เป็นผู้เสียหายที่แท้จริง” นายวิฑูรย์ กล่าว