แม้ว่า กรดไขมันโอเมก้า 6 จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยลดคอเลสเตอรอล บำรุงระบบเลือดและหัวใจ แต่การบริโภคมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการอาจกระตุ้นให้เกิด การอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่  

- โรคหัวใจและหลอดเลือด: อาการอักเสบในหลอดเลือดอาจส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ยาก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
- โรคอ้วน: การอักเสบในร่างกายอาจทำให้ร่างกายเก็บไขมันมากขึ้นและเผาผลาญพลังงานน้อยลง ส่งผลให้น้ำหนักขึ้นง่าย
- โรคเบาหวาน: การอักเสบเรื้อรังอาจทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
- โรคข้ออักเสบ: การอักเสบเรื้อรังมีผลทำให้ข้อต่อและเนื้อเยื่ออ่อนมีอาการอักเสบ ปวด และเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- โรคมะเร็ง: ภาวะอักเสบเรื้อรังในร่างกายเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้และมะเร็งเต้านม

แหล่งโอเมก้า 6 ในอาหารที่ควรระวัง  
โอเมก้า 6 พบในอาหารหลายชนิดที่เราอาจบริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น  
- น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันถั่วเหลือง: นิยมใช้ในอาหารทอดและผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว  
- เมล็ดทานตะวันและถั่วเหลือง: เป็นส่วนผสมในอาหารที่ใช้เป็นแหล่งโปรตีนจากพืช  
- มายองเนส: เป็นส่วนประกอบหลักในหลายเมนู เช่น สลัดหรือแซนวิช  

ลดการอักเสบด้วยการเพิ่มโอเมก้า 3
กรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยต้านการอักเสบและรักษาสมดุลไขมันในร่างกาย แนะนำให้เพิ่มในอาหารประจำวัน เช่น  
- ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล: เป็นแหล่งโอเมก้า 3 ชั้นยอด และยังมีโปรตีนสูง  
- เมล็ดแฟลกซ์และถั่ววอลนัท: เป็นพืชที่มีโอเมก้า 3 สูงเช่นกัน  
- น้ำมันปลา (Fish Oil): เสริมได้ในรูปแบบอาหารเสริม 

ตัวเลือกโปรตีนจากพืชแบบไม่มีถั่วเหลือง  
หากต้องการเสริมโปรตีนจากพืชและลดการบริโภคโอเมก้า 6 ควรเลือกผลิตภัณฑ์โปรตีนที่ไม่มีถั่วเหลือง เช่น Mixed Plant Protein+ ซึ่งทำจากแหล่งโปรตีนหลากหลาย เช่น  
- ถั่วลันเตา ถั่วดาวอินคา เมล็ดแฟลกซ์ และเมล็ดเจีย
- อุดมไปด้วย กรดอะมิโนที่จำเป็นและวิตามิน ที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและไม่มีส่วนประกอบของถั่วเหลือง 

การปรับสมดุลของโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ในอาหารไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในการอักเสบ แต่ยังเสริมให้ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดีขึ้นในระยะยาวด้วย
Cr.อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ