21 ธ.ค.67 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายฉบับใหม่ ทันเส้นตายก่อนเที่ยงคืนวันศุกร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐฯ รอดพ้นไม่ต้องเข้าสู่การปิดหน่วยงานรัฐ หรือ ชัตดาวน์ หนแรกนับตั้งแต่ปี 2019

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส.สหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ลงมติผ่านร่างงบประมาณรายจ่ายฉบับใหม่ ด้วยคะแนนเสียง 366 ต่อ 34 เสียง ช่วงกลางดึกคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (20 ธ.ค.) ทันเส้นตายก่อนเที่ยงคืนวันศุกร์ตามเวลาในสหรัฐฯ เป็นความพยายามครั้งที่ 3 เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐ หลังจากแผนการ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ถูกยกเลิกไปโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดี และสมาชิกพรรครีพับลิกันของเขาเอง หลังจากนี้ สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. ซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากอยู่จะต้องลงมติรับรองเพื่อผ่านความเห็นชอบ ก่อนที่จะส่งร่างงบประมาณให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามผ่านเป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสหรัฐฯ รอดพ้นไม่ต้องเข้าสู่การปิดหน่วยงานรัฐ หรือ ชัตดาวน์ หนแรกนับตั้งแต่ปี 2019

ทั้งนี้ หากรัฐสภาไม่ผ่านงบประมาณรายจ่าย การจัดสรรงบประมาณสำหรับทุกอย่างตั้งแต่หน่วยงานการบังคับใช้กฎหมายไปจนถึงอุทยานแห่งชาติ จะได้รับผลกระทบ และพนักงานของรัฐบาลกลางหลายล้านคน จะไม่ได้รับค่าจ้าง ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลวันหยุดยาวคริสต์มาส ที่มีการจับจ่ายใช้สอยด้วย

ความขัดแย้งทางการเมืองในวันศุกร์ เกิดขึ้นหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเมื่อคืนวันพฤหัสบดีไม่เห็นด้วยกับมาตรการการจัดสรรงบประมาณที่สนับสนุนโดยทรัมป์ ซึ่งจำเป็นต้องมีเสียงสนับสนุนมากกว่า 2 ใน 3 จึงจะผ่านความเห็นชอบ

ทั้งนี้ การชัตดาวน์ทำให้คนทำงานในหน่วยงานรัฐบาลกลางต้องลาพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่วนงานที่จำเป็นยังต้องทำโดยไม่ได้รับค่าจ้างเช่นกัน หากชัตดาวน์เพียงไม่กี่วันย่อมมีผลกระทบเล็กน้อย แต่หากชัตดาวน์ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไปจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง สำนักงบประมาณรัฐสภาประเมินว่า การชัตดาวน์ครั้งหลังสุดสร้างความเสียหาย 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 103,720 ล้านบาท) คิดเป็นร้อยละ 0.02 ของจีดีพี ครั้งนั้นมีคนทำงานในหน่วยงานรัฐบาลกลางต้องลาพักงานประมาณ 800,000 คน จากทั้งหมด 2.2 ล้านคน