"ภูมิธรรม" นำทีมรัฐมนตรี ลงพื้นที่อรัญประเทศ ลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งเขมร สั่งย้ายด่วน 5 นายตำรวจ พร้อมตั้งกรรมการสอบ ยันให้ความเป็นธรรม

วันที่ 12 ก.พ.68 - นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางไปยังอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และแนวทางปฏิบัติในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติ

ก่อนเดินทางไปตรวจราชการยังสระแก้ว นายภูมิธรรมได้ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นไว้เกือบทั้งหมดแล้ว อย่างเช่นรายงานข่าวเรื่องตึก 25 ชั้น ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ปล่อยปละละเลย วันนี้จะลงพื้นที่ไปดูด้วยตัวเอง เพื่อรับทราบรายละเอียดหน้างานก่อนที่จะมีการลงคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการตรวจสอบอยู่แล้ว และทราบว่าในพื้นที่มีโอเปอร์เรเตอร์ผู้ให้สัญญาณโทรศัพท์ 3 ราย ก็ได้เรียกมาพูดคุยกันแล้ว

ส่วนการออกคำสั่งย้ายข้าราชการ เบื้องต้นมีคำสั่งย้ายไปแล้ว 5 คน ประกอบด้วย ผู้กำกับการ สภ.แม่สอด / ผู้กำกับการ สภ.แม่ระมาด / และผู้กำกับการ สภ.พบพระ โดยให้ขาดจากตำแหน่งเดิมและเข้าไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 6 อีก 2 คน คือ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก และ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ขาดจากตำแหน่งเดิมเช่นเดียวกันและให้เข้ามาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว

การสั่งย้ายครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่านายตำรวจทั้ง 5 นายเป็นผู้กระทำความผิดหรือมีส่วนร่วมกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เพราะถูกกล่าวหาจึงต้องให้ขาดจากตำแหน่งเดิมไว้ก่อน เพราะตนเองเคยกสั่งการไปแล้วว่าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นผู้การฯ จังหวัดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบก่อน และเพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนได้ทำงานอย่างเต็มที่และโปร่งใสที่สุด ยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกคนด้วย

นอกจากนี้ นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงกรณีการออกหมายจับ พ.อ.หม่อง ชิตตู ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ แม้จะออกหมายจับไปแล้วแต่หากตัวอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านก็ไม่สามารถเข้าไปจับกุมได้ แต่ฝ่ายความมั่นคงได้ติดตามอย่างใกล้ชิด หากพบว่าเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยก็จะดำเนินการจับกุมทันที