พิชัย เข้มวางมาตรฐาน 3 ข้อ รับรองถิ่นกําเนิดสินค้า 50-60 รายการ ป้องกันไทยถูกสวมสิทธิส่งขายสหรัฐ

เมื่อวันที่ 28 เมษายน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากนโยบายภาษีตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นั้น สหรัฐให้ความสนใจเป็นพิเศษ ต่อเรื่องการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าที่จะนำเข้าในประเทศ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ ซึ่งใช้ช่องว่างทางสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ไทยได้รับจากสหรัฐ แล้วส่งสินค้าที่ไม่ได้มีแหล่งกำเนิดสินค้าตามสัดส่วนที่กำหนด ไปขายสหรัฐ

นายพิชัย กล่าวว่า ฉะนั้นรัฐบาลจะวางสามมาตรการสำคัญ เพื่อแก้ไขการออกหนังสือรับรองถิ่นกําเนิดสินค้า(Certificate of Origin : C/O) ที่ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ โดย

จะมีการกำหนดสินค้าเป้าหมายที่ทางสหรัฐกำหนดมาให้ ซึ่งคาดว่าจะมีราว 50 -60 ตัว โดยจะเข้าไปตรวจในตัวโรงงานผลิตสินค้าเหล่านั้นด้วย
การคำนวณต้นทุนการผลิตของสินค้าที่จะขอใบ C/O ว่ามีส่วนที่เป็นวัตถุดิบในประเทศกี่เปอร์เซ็นต์ เป็นตามเงื่อนไขของการออกใบ C/O หรือไม่
การให้กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานเดียวในการออกใบ C/O จากเดิมที่สภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้าไทย สามารถออกใบ C/O นี้ได้ด้วย ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจว่ามีความรัดกุมในการออกใบ C/O
“เรากำลังดูว่าทางสหรัฐ ต้องการให้เราตรวจสอบใบ C/O ของสินค้าแต่ละชนิด ให้ลงลึกถึงพิกัดย่อยของสินค้าชนิดนั้นๆหรือไม่”นายพิชัย กล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในช่วง 3 -5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเกินดุลการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการส่งออกสินค้า ที่สวมสิทธิ์ใบ C/O จากประเทศไทย โดยเฉพาะที่ส่งไปขายในสหรัฐ

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สินค้าจีนที่เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สาม สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่ง เนื่องจากไทยมีข้อตกลงการค้าเสรีกับจีน ทำให้ภาษีนำเข้าเป็น 0% ส่งผลให้ผู้ประกอบการจากจีน มาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สาม โดยใช้สัดส่วนวัตถุดิบจากในประเทศน้อยมาก

ทั้งนี้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐ เดิมกำหนดที่จะเดินทางไปเจรจากับทางการสหรัฐในวันที่ 23 เมษาายนนี้ แต่ต้องเลื่อนออกไป โดยนายพิชัยให้เหตุผลว่า เนื่องขากทางสหรัฐ ขอให้ไทยทบทวนมาตรการทางการค้าที่ไทยจะเสนอให้ทางสหรัฐพิจารณา ทำให้ต้องมีการทบทวนและเลื่อนการไปคุยกับสหรัฐออกไป