วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568
11 มิ.ย. 2568 14:56 | 337 view
@pracha
เลื่อนไปก่อน! ‘พิชัย’ แจงบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเลื่อนประชุม เหตุคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจยังเคลียร์แผนใช้งบ 1.57 แสนล้านบาทไม่จบ หลังหน่วยงานส่งคำขอบาน 4 แสนล้านบาท ยันต้องพิจารณาอย่างโปร่งใส โครงการต่ำกว่า 5 แสนบาทโดนเททันที ด้าน ‘จุลพันธ์’ ประเมินไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยอ่วมเต็มที่
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะมีการเลื่อนประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ออกไปก่อน จากเดิมมีกำหนดประชุมในวันที่ 11 มิ.ย. 2568 เนื่องจากยังต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เกี่ยวกับการจัดสรรเม็ดเงินงบประมาณที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาทให้เรียบร้อยก่อน โดยหลักการใช้จ่ายเม็ดเงินในส่วนนี้จะต้องทำให้ถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องมาพิจารณาอย่างละเอียดว่าแต่ละโครงการที่หน่วยงานต่าง ๆ เสนอเข้ามาอยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะเป็นหรือไม่ หรือหน่วยงานจะต้องกลับไปทบทวนใหม่ หลังจากได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้วจึงค่อยเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพิจารณาต่อไป
“เรื่องนี้เราจะไม่รีบร้อน เพราะเงินพวกนี้จะต้องใช้ให้ถูกต้อง ผมดูมาเบื้องต้น อะไรที่เขาเสนอมาแล้วไม่อยู่ในสิ่งที่ควรจะเป็น ก็ต้องให้เขากลับไปทบทวน” นายพิชัย กล่าว
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง กล่าวว่า ยอมรับว่าขณะนี้มีคำขอใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท เข้ามาแล้วเป็นหลักหมื่นโครงการ คิดเป็นเม็ดเงินราว 4 แสนกว่าล้านบาท มีทั้งคำขอในส่วนของโครงการลงทุนเกี่ยวกับถนน น้ำ ท้องถิ่นและต่าง ๆ ซึ่งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ จะต้องมาตีกรอบเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดียวกัน เช่น เรื่องน้ำ อาจจะพิจารณาสำหรับพื้นที่ที่เคยประสบภัยพิบัติมาแล้ว เรื่องถนน ต้องตอบโจทย์ในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
ขณะเดียวกันโครงการลงทุนที่ต่ำกว่า 5 แสนบาทจะตัดทิ้งทันที เพราะโครงการที่ม่ีขนาดดังกล่าวจะใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ ไม่ได้เป็นการ e-bidding เนื่องจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องการให้การใช้จ่ายเม็ดเงินมีความโปร่งใสมากที่สุด เพราะงบประมาณส่วนนี้ถูกจับจ้องอย่างมาก ดังนั้นโครงการที่จะเข้ามาขอใช้เม็ดเงินจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่มีความถูกต้องและเป็นโครงการที่มีความพร้อม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งการในที่ประชุม ครม. ในเรื่องสำคัญ คือ งบประมาณปี 2569, งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท และงบกลางที่หลายส่วนงานมีคำขอใช้เข้ามา โดยกำชับให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุม ไม่ให้เอื้อประโยชน์หรืออะไรต่าง ๆ และให้เป็นไปตามมมาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติว่า “การกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้” และต้องอยู่ภายใต้ความเหมาะสม จึงเป็นเหตุผลให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ต้องมานั่งสกรีนโครงการอย่างละเอียดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม แนวทางการใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท อาจจะไม่ได้ใช้ในสำหรับโครงการลงทุนทั้งหมดก็ได้ อาจจะมีการจัดสรรบางส่วนไปเพื่อรองรับผลกระทบในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อาจจะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ รองรับโครงการจ้างงานต่าง ๆ โดยทั้งหมดจะต้องมาดูความเหมาะสม และความจำเป็นอีกครั้งเกี่ยวกับกรอบแนวทางการดำเนินการว่าควรจะเป็นอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจมากที่สุด และยอมรับว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะสรุปการจัดสรรเม็ดเงินออกเป็นล็อต ๆ เพื่อเสนอคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจสรุป ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่ได้มีการตัดสินใจชัดเจนใด ๆ ทั้งสิ้น
“เราปรับเปลี่ยนจากการแจกเงินหมื่นมาเป็นเรื่องนี้ เพื่อจะช่วยทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดการลงทุน ซัพพลายเชนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจทั้งหมดจะได้รับผลกระโยชน์ ท้ายที่สุดเศรษฐกิจจะเกิดการหมุนเวียนหลาย ๆ รอบ แม้ว่าการเติมเงินจะมีข้อดี คือ เร็ว ใส่ลงปุ๊บมีผลทันที แต่การปรับมาเป็นการลงทุนมันมีการทอดเวลา เพราะต้องมีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งถือเป็นการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน ถือเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นสิ่งที่หลายหน่วยงานให้ความเห็นเข้ามา ครม.ก็รับฟังความเห็นและปรับฝิธีการตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ส่วนงบ 1.57 แสนล้านบาท จะกระตุ้นจีดีพีได้เท่าไหร่ ตอนนี้ยังไม่รู้ เพราะยังไม่ได้สรุปว่าสุดท้ายจะเป็นงบประมาณเพื่อการลงทุนเท่าไหร่ หรือต้องเอาไปทำอย่างอื่นเท่าไหร่” นายจุลพันธ์ กล่าว
รมช.การคลัง กล่าวอีกว่า เบื้องต้นมีการประเมินว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ตั้งแต่ไตรมาส 3/2568 ทั้งจากปัจจัยเสี่ยงเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ีข่าวดีว่ามีความชัดเจนในเรื่องการนัดหมายการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งหากเป็นไปได้ด้วยดี ผลกระทบก็อาจจะเบาบางลง
“ตอนนี้สถานการณ์ที่ต้องติดตามมี 2-3 อย่าง ทั้งเรื่องภาษีสหรัฐฯ ซึ่งที่น่าจะเริ่มชัดเจนแล้วคือเรื่องการเก็บภาษีศุลกากร 10% น่าจะมีอยู่ ส่วนการเจรจาที่เป็นโจทย์สำคัญของไทย คือ เราอย่าให้เสียเปรียบประเทศที่เป็นคู่ค้าหรือคู่แข่ง ต้องอยู่ในกติกาที่เรารับได้ จากปัจจุบันสถานการณ์ตอนนี้แทบจะฉีกข้อตกลงที่เป็นพหุพาคีทุกฉบับ ส่วน WTO ไม่รู้จะเป็นอย่างไรต่อไป หมายความว่า ความเชื่อมั่นและความมั่นในในข้อตกลงระหว่างประเทศมันหายไป ตรงจุดนี้แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าต่อให้รัฐบาลทำดีแค่ไหนก็ตาม มันก็ย่อมมีผลกระทบเชิงลงต่อตัวเลขทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ไทย แต่เป็นระดับโลก ทุกประเทศได้รับผลกระทบทั้งหมด ส่วนตอนนี้ที่เศรษฐกิจยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะมีปัจจัยเรื่องการเร่งส่งออก เร่งการผลิตเพื่อหลบเลี่ยงความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” รมช.การคลัง ระบุ
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 16:29 246 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 16:19 67 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 16:17 65 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 16:16 190 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 15:32 95 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 15:10 113 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 14:55 115 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 14:48 93 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 13:49 123 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 13:44 85 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 13:44 142 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 12:51 199 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 11:57 125 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 11:44 128 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 11:15 116 views
ข่าว
12 มิ.ย. 2568 10:48 133 views