สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตย้ำ "สร้างฝายไม่ใช่ทางออก" แก้ปมแม่น้ำกกปนเปื้อนสารพิษข้ามพรมแดน ชี้รัฐบาลไทยไม่ควรรับภาระดักของเสียแทนทุนต่างชาติ จี้เร่งเจรจาปิดเหมืองต้นน้ำในเมียนมาทันที

นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต ระบุว่า การสร้างฝายเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่สามารถจัดการกับสารพิษที่ปนเปื้อนมาจากเหมืองต้นน้ำฝั่งเมียนมาได้อย่างแท้จริง การที่ไทยสร้างฝายเช่นนี้ เท่ากับว่าไทยยอมเป็น "โรงกำจัดสารพิษข้ามแดน" โดยที่ทุนเหมืองซึ่งเป็นต้นเหตุในต่างประเทศไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ซ้ำยังเสี่ยงกระทบต่อระบบนิเวศในลำน้ำ และอาจซ้ำรอยบทเรียนจากกรณีลำห้วยคลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ใช้งบประมาณหลายร้อยล้านบาท แต่ยังไม่สามารถฟื้นฟูสภาพน้ำได้อย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน ประชาชนในลุ่มน้ำกกต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้สะอาดอย่างหนัก ถึงขั้นต้องซื้อน้ำใช้ในราคาสูงถึงเดือนละกว่า 3,000 บาทต่อครอบครัว เนื่องจากไม่สามารถใช้น้ำจากแม่น้ำกกและบ่อน้ำตื้นในพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย
สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และเครือข่ายภาคประชาชน จึงมีข้อเรียกร้องหลักไปยังรัฐบาลให้เร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อ ยุติการทำเหมืองต้นน้ำซึ่งเป็นต้นตอของสารพิษ พร้อมทั้งจัดหาน้ำสะอาดแจกจ่ายประชาชนในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน โดยย้ำว่าการสร้างฝายควรเป็นทางเลือกสุดท้าย ไม่ใช่มาตรการเร่งด่วนที่เดินหน้าทั้งที่ยังขาดการมีส่วนร่วมและการประเมินผลกระทบอย่างรอบด้าน เพราะต่อให้สร้างฝายเป็นหมื่นแห่ง ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ หากยังไม่ปิดเหมืองต้นเหตุของสารพิษ