สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ออกโรงเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวังต่อ "โรคพยาธิชอนไชผิวหนัง" ภัยสุขภาพที่มักถูกมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนที่พื้นดินมีความชื้นแฉะสูง เสี่ยงต่อการเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของพยาธิที่มาจากมูลสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวอย่างสุนัขและแมว ชี้กลุ่มเสี่ยงหลักคือผู้ที่นิยมเดินเท้าเปล่า และเด็กๆ ที่ชอบนั่งเล่นบนพื้นดินหรือกองทรายโดยตรง

นายแพทย์สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า พยาธิที่เป็นต้นเหตุคือตัวอ่อนของพยาธิตัวกลมจากสัตว์ เช่น พยาธิปากขอ และพยาธิตัวจี๊ด ซึ่งสามารถไชเข้าสู่ผิวหนังของมนุษย์ได้ แม้ว่าพยาธิเหล่านี้จะไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยในร่างกายคนได้ แต่การเคลื่อนที่ของตัวอ่อนใต้ผิวหนังจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ บวมแดง มีอาการคันอย่างรุนแรง และที่สำคัญคือจะปรากฏรอยโรคเป็นเส้นนูนแดงคดเคี้ยวไปมาบนผิวหนัง ซึ่งอาจยาวได้ถึง 20 เซนติเมตร สร้างความเดือดร้อนรำคาญและทรมานแก่ผู้ป่วย

ด้านนายแพทย์วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาการของโรคพยาธิชอนไชผิวหนังมักจะเริ่มปรากฏให้เห็นภายใน 1-5 วันหลังจากสัมผัสเชื้อ และหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ หรือในบางรายอาจเรื้อรังยาวนานเป็นปี "ที่น่ากังวลคือ ในผู้ป่วยบางรายอาจพบอาการแทรกซ้อน เช่น รู้สึกแสบร้อนบริเวณหน้าอก มีอาการไอ หรือหายใจมีเสียงหวีด ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม" นายแพทย์วีรวัตกล่าว

แพทย์หญิงอรยา กว้างสุขสถิตย์ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันโรคผิวหนัง เน้นย้ำถึงแนวทางการรักษาและการป้องกัน โดยระบุว่า การรักษาด้วยยาฆ่าพยาธิชนิดรับประทาน เช่น Albendazole หรือ Ivermectin ให้ผลการรักษาที่ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการป้องกันตนเองตั้งแต่ต้นทาง "สถาบันฯ ขอแนะนำวิธีป้องกันง่ายๆ แต่ได้ผล คือ 1. สวมรองเท้าทุกครั้งเมื่อต้องเดินบนพื้นดินหรือออกนอกบ้าน 2. หลีกเลี่ยงการนั่งหรือสัมผัสโดยตรงกับพื้นดิน ทราย หรือบริเวณที่ชื้นแฉะซึ่งอาจมีการปนเปื้อนมูลสัตว์ และ 3. สำหรับผู้ที่มีสัตว์เลี้ยง ควรนำสุนัขและแมวไปถ่ายพยาธิอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของสัตวแพทย์"

ทั้งนี้ สถาบันโรคผิวหนังขอให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงของโรคพยาธิชอนไชผิวหนัง และใส่ใจดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะการป้องกันบุตรหลานที่อาจเผลอเล่นในพื้นที่เสี่ยง เพื่อสุขภาพผิวหนังที่ดีของทุกคนในครอบครัว.