พลโท ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร เปิดเผยถึงกรณีปัญหาเขตชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะประเด็นที่กัมพูชา ไม่ยอมรับแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 50,000 พร้อมยืนยันว่า การดำเนินการของไทยนั้นเป็นไปตามหลักสากล และมีมาตรฐานทางวิชาการที่ชัดเจน โดยกรมแผนที่ทหาร มีบทบาทเป็นเจ้าหน้าที่เทคนิคหลักของฝ่ายไทยในการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่การสำรวจเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา มีความยาวรวม 798 กิโลเมตร แบ่งตามลักษณะธรรมชาติเป็นหลัก ประกอบไปด้วย แนวสันปันน้ำ 525 กิโลเมตร ลำน้ำ 216 กิโลเมตร ส่วนบริเวณที่เป็นแนวราบจะใช้เส้นตรงระหว่างหลักเขตแดนประมาณ 58 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการแบ่งเขตแดนที่เป็นระดับสากลและนิยมใช้กันทั่วโลก ขณะที่ในปี 2543 รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ลงนาม MOU เห็นชอบการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนวร่วมกัน และในปี 2546
ได้ตกลงร่วมกันกับกัมพูชา เรื่องการแผ่แม่บทหรือทำข้อกำหนดในอำนาจหน้าที่ 5 ขั้นตอน ได้แก่
1.สำรวจสภาพและค้นหาที่ตั้งหลักเขตแดนเดิม พร้อมซ่อมแซมและจัดทำหลักเขตแดนให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม โดยทำสำรวจได้เเล้วทั้งหมด 74 หลัก
2.จัดทำแผนที่ภาพถ่ายตลอดแนวร่วมกับการหาความสูงภูมิประเทศด้วยแสงเลเซอร์ หรือ ไลด้าร์
3.ลากเส้นเขตแดนบนแผนที่ภาพถ่ายตามปันน้ำ ลำคลอง และเส้นตรง
4.ตรวจสอบภูมิประเทศจริงต้องโดยร่วมกันเดินสำรวจ
เเละ 5.การสร้างหลักเขตแดน

พร้อมกันนี้ พลโท ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร ได้ชี้แจงถึงกรณีแผนที่ 1 ต่อ 50,000 ของไทย ว่าเป็นแผนที่ที่มีความละเอียดสูงกว่า และจัดทำตามหลักฐานทางกฎหมายและลักษณะภูมิประเทศจริง ขณะที่แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่ฝั่งกัมพูชาเห็นชอบนั้น มีความคลาดเคลื่อนและไม่เหมาะกับการวัดระยะทาง เนื่องจากเทคโนโลยีสมัยนั้นยังไม่แม่นยำเท่าเท่าที่ควร ส่วนสาเหตุที่กัมพูชาไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 50,000 เนื่องจากเป็นแผนที่ที่ฝั่งไทยจัดทำขึ้นเอง เพื่อแสดงแนวเขตรักษาอธิปไตยในระหว่างที่ยังไม่มีการสำรวจร่วมกันที่แน่ชัด

โดยล่าสุดการประชุม JBC ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าสำคัญ คือ รับรองที่ตั้งหลักเขตแดน 74 หลักแล้ว และจะมีการหารือเรื่องการนำเทคโนโลยี Lidar (ไลด้าร์) มาช่วยเร่งกระบวนการ ซึ่งทางเจ้ากรมแผนที่ทหาร ยืนยันว่า การสำรวจเขตแดนครั้งนี้เป็นไปตามกติกามาตรฐานสากลและหลักวิชาการอย่างแท้จริง

--จบตัด--