วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2568
1 ส.ค. 2568 09:46 | 214 view
@pracha
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ทางแก้ปัญหาปากท้องและสิ่งแวดล้อม
ท่ามกลางเศรษฐกิจและการเมืองที่ผันผวน
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกที่ยังไร้ทิศทางชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ประเทศไทยยังคงขาดเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแรง การส่งออกชะลอตัว ภาคอุตสาหกรรมยังไม่ฟื้นเต็มที่ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวแม้จะฟื้นตัวขึ้นมาหลังวิกฤติการณ์โควิด แต่ก็กลับมาซบเซาหนักด้วยพิษเศรษฐกิจทั่วโลกไร้แววจะทำหน้าที่เป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศได้อย่างก้าวกระโดดอีกต่อไป
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เสนอแนวทางเชิงระบบ “แก้จนด้วยธรรมชาติ” เป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศ เน้นการ แปลงทุนธรรมชาติให้กลายเป็นรายได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในประเด็นคาร์บอนเครดิตและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่กำลังกลายเป็นกลไกเศรษฐกิจระดับโลก เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง พร้อมเผยทิศทางการทำงาน
เชิงกลยุทธ์ของมูลนิธิฯ ทั้งในระดับประเทศและเวทีโลก เศรษฐกิจที่เปราะบางในวันนี้ ไม่สามารถแก้ด้วยเครื่องมือเดิม ๆ ได้ทั้งหมด เราจำเป็นต้องหันมาบูรณาการการดูแลธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติ ที่รวมถึงการมีหน้าที่เป็น “ทรัพยากรเชิงเศรษฐกิจ” ที่คนสามารถดูแลรักษาไปพร้อมกับการทำให้เป็นแหล่งสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
จากปัญหา สู่โอกาส: ธรรมชาติเป็นคำตอบ
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ชี้ว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ มีโอกาสซ่อนอยู่ โดยเฉพาะในแนวทาง "การปรับตัว - การบูรณาการ - การกระจายอำนาจ" สู่ชุมชนในระดับท้องถิ่น และใช้แนวทาง Nature-based Solutions หรือ
การใช้ธรรมชาติในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน
ธรรมชาติคือต้นทุนของทุกชีวิต: คาร์บอนเครดิตและความหลากหลายทางชีวภาพ
ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการพัฒนา Carbon Credit และ Biodiversity Credit ซึ่งเป็นกลไกใหม่ของโลกที่เปลี่ยนการดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้กลายเป็นมูลค่าเชิงเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คือหนึ่งในองค์กรที่มีพื้นที่ทำงานเชิงลึกยาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งปัจจุบันได้ขยายผลออกไปครอบคลุมในหลายพื้นที่แทบทุกภูมิภาคของไทย พื้นที่เหล่านี้เองนอกจากจะเป็นแหล่งผลิตคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่ให้มากกว่าเครดิต แต่ยังสร้างรายได้แก่ชุมชน และเพิ่มคุณภาพของระบบนิเวศของพื้นที่ป่าที่มูลนิธิฯ ดูแลด้านความหลากหลายทางชีวภาพไปจนถึงกลไกการประเมิน biodiversity credit ของประเทศในอนาคต
ขับเคลื่อน “ตำราสมเด็จย่า” ที่มุ่งเน้นการ ปลูกป่า ควบคู่กับการปลูกคน
การทำงานของมูลนิธิฯ ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อได้มีโอกาสเข้าร่วมเวที Climate Change ไปพร้อมๆ กับการขยายเครือข่ายการดูแลป่า และชุมชนผ่านความร่วมมือจากเครือข่ายภาคี ทั้งในไทยและต่างประเทศทั่วโลก ตอกย้ำว่า
“ตำราสมเด็จย่า” ที่มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศของ “คน-ป่า-เศรษฐกิจ” เป็นทางออกที่โลกกำลังมองหา โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งมีบริบทเฉพาะตัว “สัดส่วนพื้นที่ป่าต่อประชากรในประเทศไทยลดลงอย่างมาก อุปมาให้เห็นภาพ หากเดินเข้าไปในป่าเมืองไทย ทุก ๆ 1.5 ไร่ จะพบคน 1 คน ขณะที่ในป่าอเมซอน ต้องเดินกว่า 1,000 ไร่ จึงจะเจอคน 1 คน” ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าด้วยข้อจำกัดด้านพื้นที่ดังกล่าว ประเทศไทยมีประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าและพึ่งพิงป่าทางตรงมากกว่าประเทศอื่นๆ หลายร้อยเท่า ทำให้การอนุรักษ์ต้องไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของคนด้วย โดยเฉพาะการออกแบบทางเลือกที่ให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน
แผนการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2568 (2H)
ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เดินหน้าขยายบทบาททั้งในระดับประเทศไปจนระดับโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) อย่างต่อเนื่อง เพื่อชูองค์ความรู้ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” สู่เวทีโลกด้าน Climate Change ครอบคลุมป่า ดิน น้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านความร่วมมือ การจัดงาน และร่วมงาน ไปจนถึงเป็นตัวแทนประเทศไทยในการนำเสนอแนวคิดและองค์ความรู้ที่พิสูจน์ได้จริงที่เน้นการฟื้นฟูธรรมชาติควบคู่กับการพัฒนาคน ประกอบไปด้วยแนวทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ทำงานสู่การออกแบบนโยบายระดับโลก อาทิ
ระดับสากล:
● WEF - Global Future Councils (ดูไบ) ในระหว่างวันที่ 14 - 16 ตุลาคม 2568 ณ ดูไบ,
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ : ก้าวขึ้นสู่เวที WEF ในฐานะผู้แทนประเทศไทย หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้รับเลือกเป็น 1 ใน 3 ตัวแทนประเทศไทยที่เข้าร่วม Network of Global Future Councils ของ World Economic Forum (WEF) ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยดำรงตำแหน่งสมาชิกใน สภาอนาคตโลกด้าน “ดิน” (Global Future Council on Soil) ซึ่งถือเป็นทุนธรรมชาติพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญทั้งต่อความมั่นคงทางอาหาร การดูดซับคาร์บอน และการฟื้นฟูระบบนิเวศ งานนี้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกในสาขาต่างๆ เพื่อระดมความคิดเชิงนโยบายสำหรับโลกอนาคต >
● การประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 30 (UNFCCC COP30) ในระหว่างวันที่ 10 ถึง 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเลม ประเทศบราซิล: มูลนิธิฯ ยังได้รับบทบาทสำคัญใน การประชุมสมัชชาภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC COP30) ที่จะจัดขึ้น ณ เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล โดยมูลนิธิฯ ทำหน้าที่เป็น Content Manager ให้กับรัฐบาลไทย ในการจัดกิจกรรมในพื้นที่ Thailand Pavilion โดยเน้นการสะท้อนการผนึกกำลังของภาคส่วนต่างๆ เพื่อเปลี่ยนเจตนารมณ์ด้าน Climate Action ให้เป็นรูปธรรมโดยเฉพาะประเด็น ความหลากหลายทางชีวภาพ
ที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นในกลไกด้านสิ่งแวดล้อมของโลก
● ด้านน้ำ: มูลนิธิฯ ได้รับเชิญเข้าร่วม Southeast Asia Partnership on Adaptation through Water (SEAPAW) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Singapore International Foundation และ World Economic Forum โดยเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และองค์กรวิจัย ได้แลกเปลี่ยนแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านมิติของน้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญระดับภูมิภาคที่มีผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจ ความมั่นคง และชีวิตของประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ : เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว 2567 และมีการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้นในปีนี้ 2568
● ในช่วงเดือนตุลาคม 2568 นี้ : ศูนย์วิจัย Centre for Nature-based Climate Solutions (CNCS) หน่วยงานวิจัยภายใต้มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore: NUS) ซึ่ง ทั้ง 2 หน่วยงานถือเป็นสถาบันชั้นนำระดับโลกด้านคาร์บอนและความหลากหลายทางชีวภาพจากประเทศสิงคโปร์ จะส่งทีมพร้อมเทคโนโลยีพิเศษมาที่ดอยตุง เพื่อทำการวิจัยและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่อนุรักษ์ การประเมินคาร์บอนและความหลากหลายทางชีวภาพที่ดอยตุง เพื่อเป็นต้นแบบส่งเสริมการฟื้นฟูธรรมชาติในพื้นที่อื่นๆ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์โดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ CNCS และ NUS
ระดับในประเทศ:
● มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ จับมือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (สพภ.)ผลักดันแผนความหลากหลายทางชีวภาพระดับชาติ (NBSAP 2566–2570) โดยเน้นการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินด้านความหลากหลายทางชีวภาพ การบูรณาการฐานข้อมูล การเพิ่มพื้นที่อนุรักษ์นอกเขตอนุรักษ์ในพื้นที่ดอยตุง (Other effective area-based conservation measures' (OECMs) การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจชีวภาพ และการสร้างความตระหนักรู้แก่เยาวชน (หลังจากที่ได้ร่วมลงนาม MOU กับ สผ. และ สพภ. เป็น Implementation Partner ไปเมื่อช่วงเดือน มีนาคม 2568)
● MFLF Sustainability Forum 2025 ในวันจันทร์ที่ 22 กันยายน 2568 เวลา 08.30 – 12.00 ณ ชั้น 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยในงานนอกจากจะเป็นการระดมแนวคิดหาทางออกการปรับตัวในสภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศในสภาวะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาปรับนโยบายสิ่งแวดล้อมขนานใหญ่ ยังมีไฮไลต์เป็นการส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ได้รับการรับรองโดย อบก. ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา จำนวน 12 โครงการ โดยมอบให้กับ 8 องค์กร ที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 1 เมื่อปี 2563 (ตัวเลขปริมาณคาร์บอนเครดิตที่จะทำการส่งมอบยังอยู่ระหว่างการทวนสอบ ซึ่งจะทราบผลประมาณปลายเดือน สิงหาคม 68 นะคะ)
● มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เชิญชวนทุกคนร่วมเรียนรู้แนวทาง “การปรับตัวอย่างยั่งยืน” ผ่านนิทรรศการ “ตำราแม่ฟ้าหลวง” ที่งาน SUSTAINABILITY EXPO 2025: พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก ระหว่างวันที่ 26 ก.ย. – 5 ต.ค. 2568 ณ ชั้น G โซน SEP ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พบตัวอย่างจริงของการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและภัยพิบัติโลก ด้วยแนวคิดปลูกป่า-ปลูกคนจากประสบการณ์ของมูลนิธิฯ ตลอดกว่า 30 ปี เพราะทุกปัญหาจะแก้ได้ดีขึ้น เมื่อทุกภาคส่วนร่วมมือกัน (Better Together)
● TNFD Report : มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็น 1 ใน 2 องค์กรในประเทศไทย ที่จัดทำรายงาน Task Force on Nature-Related Financial Disclosure (TNFD) อย่างเป็นทางการ เพื่อเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ตามมาตรฐานสากล — นำร่องให้กับองค์กรอื่นที่สนใจแนวทางการบริหารทรัพยากรอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติตามแนวทางสากล โดยประเมินทั้ง “ความเสี่ยง, ผลกระทบ, การพึ่งพา และโอกาส” ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ซึ่ง TNFD ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยในกรณีของมูลนิธิฯ ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้จะถูกนำมาใช้ในแผนงานพัฒนาดอยตุงและธุรกิจเพื่อสังคมของมูลนิธิฯ และยังเปิดให้ภาคธุรกิจที่สนใจสามารถนำกระบวนการนี้ไปประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน
ก้าวต่อไปของมูลนิธิฯ ส่วนหนึ่งจะดำเนินงานผ่านการปฏิบัติงานเชิงรุกของสายงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน (SuA) สายงานนี้จะสร้างแรงกระตุ้นที่สำคัญให้องค์กรต่างๆ ในด้านความยั่งยืนทุกมิติที่จับต้องได้ ลงมือทำได้จริง ทำหน้าที่ขยายขอบข่ายความร่วมมือระดับประเทศและสากลที่มุ่งสร้างความยั่งยืนทุกมิติให้เกิดผลวงกว้างขึ้น ไปพร้อม ๆ กับการเป็นที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนแก่ภาครัฐ เอกชน และองค์กรระหว่างประเทศ โดยให้บริการทั้งเชิงกลยุทธ์และภาคปฏิบัติ ตั้งแต่การดำเนินโครงการ T-VER, การวางแผน Net Zero & Circular Economy, Zero Waste to Landfillและการพัฒนาผู้นำ ESG รุ่นใหม่ โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการให้คำปรึกษาและฝึกอบรมให้กับภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชนในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว การผลิต และอุตสาหกรรมบันเทิง เป็นต้น
**** งานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน
ในปี 2567 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้จัดตั้งหน่วยงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน (Sustainability Advisory - SuA) เพื่อขยายผลตำราแม่ฟ้าหลวงให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านความยั่งยืนในวงกว้าง ผ่านการให้บริการปรึกษา ดำเนินโครงการ ฝึกอบรม และสร้างเครือข่ายพันธมิตร ในเรื่องที่มูลนิธิฯ มีความเชี่ยวชาญ อาทิ โครงการพัฒนาตามหลักการ “ปลูกป่า ปลูกคน” การจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม การจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และการพัฒนาชุมชน เป็นต้น เพื่อให้องค์กรต่างๆ รวมถึงภาคเอกชน สามารถนำวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนขององค์กรสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม (last mile implementation solution) และขยายผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างร่วมกัน
หน่วยงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน ดำเนินงานผ่านการบูรณาการองค์ความรู้และผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ ของมูลนิธิฯ โดยมุ่งแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร เชื่อมโยงมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ตามตำราแม่ฟ้าหลวง
บริการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนของมูลนิธิฯ มุ่งเน้นการนำองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มูลนิธิฯ สั่งสมจากการดำเนินงานจริงในพื้นที่ มาพัฒนาเป็นบริการที่สามารถตอบโจทย์องค์กรต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ดังนี้:
• การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
- มูลนิธิฯ มีประสบการณ์ตรงจากการจัดการขยะสู่บ่อฝังกลบเป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ความมุ่งมั่นในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) และการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จึงเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม
- มูลนิธิฯ ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยงานรับรองก๊าซเรือนกระจกกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) สามารถทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบความใช้ได้ (Validator) และทวนสอบ (Verifier) โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (T-VER) และปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่องค์กรปล่อย (CFO) ทีมที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิฯ ได้ให้บริการที่ปรึกษาขึ้นทะเบียนโครงการ และการทวนสอบโครงการ T-VER กับบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมทั้ง เกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน ค้าปลีก การผลิต และภาครัฐ เป็นต้น
• ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ แนวทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ของมูลนิธิฯ อยู่บนหลักคิดของการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างคนกับทรัพยากรธรรมชาติ โดยการบริหารจัดการน้ำและการจัดการการใช้พื้นที่เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญ นอกจากนั้น มูลนิธิฯ มีประสบการณ์ฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่ากว่า 600,000 ไร่ ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลที่ชัดเจน ปัจจุบัน มูลนิธิฯ ได้นำกรอบการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง ผลกระทบ และการพึ่งพาธรรมชาติตามมาตรฐานสากล Task Force on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) มาประยุกต์ใช้อีกด้วย จึงสามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับองค์กรต่างๆ ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
• การพัฒนาชุมชนและการสร้างเครือข่ายพันธมิตร มูลนิธิฯ มีโมเดลการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนที่ผ่านการพิสูจน์ผลลัพธ์แล้วในหลายพื้นที่ พร้อมทีมงานที่มีประสบการณ์สูงในการขับเคลื่อนกระบวนการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่งสามารถนำไปถ่ายทอดและขยายผลผ่านความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ โดยมุ่งสร้างคุณค่าร่วม (shared value) กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และชุมชน เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่ยั่งยืนและวัดผลได้ทั้งนี้ หน่วยงานที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนได้ดำเนินการให้คำปรึกษาและฝึกอบรมให้กับภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคเอกชนในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม พลังงาน การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว การผลิต เป็นต้น
ข่าว
1 ส.ค. 2568 16:48 154 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 16:34 130 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 16:16 138 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 15:55 242 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 15:33 166 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 15:19 113 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 15:15 137 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 15:03 131 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 14:30 174 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 13:31 253 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 12:38 173 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 12:01 197 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 11:11 195 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 10:54 184 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 10:47 127 views
ข่าว
1 ส.ค. 2568 10:41 175 views