เปิดนโยบายรัฐบาลอนุทิน! แย้ม‘คนละครึ่ง’เอื้อดูแลบัตรสวัสดิการฯ- ตรึงพลังงาน-ดันไฟฟ้าชุมชน-ขับเคลื่อนศก.เชิงพื้นที่

19 กันยายน 2568 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมกับสภาหอการค้าไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า ที่ประชุมได้หารือร่วมกับภาคเอกชนถึงแนวนโยบายสําคัญที่จะใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังรัฐบาลชุดใหม่เริ่มทํางาน ซึ่งภาคเอกชนได้สะท้อนข้อเสนอหลักให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งหรืออ่อนจนเกินไป เนื่องจากส่งผลต่อการนําเข้า–ส่งออก และการลงทุนด้านเครื่องจักร พร้อมกันนี้ยังเสนอให้มีมาตรการด้านภาษีที่จูงใจและเอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น

นายสิริพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนนโยบายคนละครึ่งกําลังเป็นที่จับตามอง แม้จะยังไม่ได้มีการประกาศรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่มีแนวทางเบื้องต้นว่า ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะได้รับสิทธิ์ในลักษณะ top up เช่น หากบัตรสวัสดิการให้สิทธิ์ 300 บาท รัฐบาลจะเติมให้อีก 700 บาท รวมเป็น 1,000 บาท เพื่อไม่ให้น้อยกว่าประชาชนทั่วไป ขณะเดียวกันยังมีการพิจารณามอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี เช่น อาจได้รับสิทธิ์ 1,200 บาทต่อคน แทน 1,000 บาท

จากนี้ ต้องไปดูขั้นตอนทางเทคนิค แต่นโยบายนี้ ปฏิบัติแน่ เพราะหารือกันมาถึงแนวทางการปฏิบัติแล้ว ขณะที่อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นคือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่ต้องถูกเลื่อนจัดเก็บเต็มอัตราออกไปเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งหลายคนการได้มาซึ่งที่ดินคือการเก็บหอมรอมริบ เราไม่ควรต้องไปลงโทษคนกลุ่มนั้นนี่คือแนวทางของรัฐบาลชุดนี้ กําลังหาทางออกที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย

นายสิริพงศ์ ยังกล่าวถึงนโยบายด้านพลังงาน รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการ “โซลาร์ชุมชน” ภายใน 4 เดือน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชนรวมกว่า 1,500 เมกะวัตต์ในระยะเริ่มต้น สําหรับนโยบายเฉพาะหน้า จะมีการตรึงราคาพลังงาน และหากทําสําเร็จเรามองไปถึงการลดราคาพลังงานในปีหน้าเลย ซึ่งท่านว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีแนวทางไว้แล้วทีนี้ก็เหลือในเรื่องของการปฏิบัติจริงซึ่งกําลังหารือกันอย่างเข้มข้นรัฐบาลชุดนี้เราทํางานกันทุกวัน

นอกจากนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยังมีแนวคิดผลักดันให้แต่ละจังหวัดแต่งตั้ง รองผู้ว่าฯ ด้านเศรษฐกิจ เพื่อดูแลและขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงรุกในระดับพื้นที่ ถือเป็นการต่อยอดแนวทางที่เคยทําไว้สมัยดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย