สทนช. เผยเขื่อนภูมิพล–เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ปรับลดการระบายน้ํา ช่วยคงอัตราระบายเขื่อนเจ้าพระยาไว้ที่ 2,900 ลบ.ม./วินาที ตามข้อสั่งการรัฐบาล เพื่อบรรเทาผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ํา

วันที่ 14 พ.ย.68 - สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยสถานการณ์น้ําในลุ่มน้ําเจ้าพระยา โดยยืนยันว่า การบริหารจัดการน้ําของเขื่อนต้นน้ําหลายแห่งเริ่มเห็นผล ทําให้ เขื่อนเจ้าพระยา สามารถคงอัตราการระบายน้ําไว้ที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตามข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี

นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า ปัจจุบัน (13 พ.ย. 68) เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ํา 13,406 ล้าน ลบ.ม. หรือ 99.59% ของความจุเก็บกัก แต่ยังไม่มีความจําเป็นต้องเปิด Spillway เนื่องจากมีพื้นที่รองรับน้ําเพียงพอ และมีการบริหารจัดการน้ําล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี ด้วยการระบายน้ําแล้วกว่า 5,300 ล้าน ลบ.ม. เพื่อบรรเทาผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ํา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการปรับลดการระบายน้ําของเขื่อนภูมิพลจาก 55 ล้าน ลบ.ม./วัน เหลือ 30 ล้าน ลบ.ม./วัน ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน ซึ่งจะช่วยให้ระดับน้ําเหนือเขื่อนเจ้าพระยาลดแรงกดดันลงอย่างต่อเนื่อง

พร้อมกันนี้ ยังมีการบริหารจัดการน้ําร่วมกับเขื่อนอื่น ๆ ในลุ่มน้ําเจ้าพระยา ได้แก่ ลดการระบายน้ําเขื่อนสิริกิติ์ , ลดการระบายน้ําเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เหลือ 136 ลบ.ม./วินาที , เพิ่มการรับน้ําเข้าระบบชลประทานรวม 10 ลบ.ม./วินาที ทั้งฝั่งตะวันตก–ตะวันออก
มาตรการเหล่านี้ทําให้แนวโน้มระดับน้ําเหนือเขื่อนเจ้าพระยาไม่เพิ่มขึ้น และยืนยันว่า ไม่จําเป็นต้องเพิ่มการระบายน้ําจากเขื่อนเจ้าพระยาในช่วงนี้

สทนช.ระบุว่า หากปริมาณน้ําไหลเข้าระบบลุ่มน้ํายังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อน้ําล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ําหลายจังหวัด โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ําเจ้าพระยา แม่น้ําน่าน และแม่น้ําสะแกกรัง