วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2568
1 ธ.ค. 2568 13:31 | 101 view
@pracha
นายกฯมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณปี 2570 มุ่งสร้างสมดุลระหว่าง “พัฒนาเศรษฐกิจ - ดูแลสังคม –รักษาวินัยการคลัง” ย้ําการพิจารณาจัดทําคําขอฯ ไม่ควรเกินร้อยละ 20 หนุนภาครัฐ-เอกชน จัดประชุม/Event ในพื้นที่ที่เคยเกิดอุทกภัย
วันนี้ (1 ธ.ค. 68) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสสําคัญในการมอบนโยบายเพื่อจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายสําคัญ ทั้งการจัดการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน และการวางรากฐานสําคัญสําหรับประเทศไทย รัฐบาลได้กําหนดนโยบายการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2570 โดยยึดแนวทางจากแผนการคลังระยะปานกลาง (ปี 2570 – 2573) ซึ่งในปีนี้แม้จะยังเป็นงบประมาณแบบขาดดุล แต่รัฐบาลตั้งใจลดการขาดดุลงบประมาณลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต และรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยอยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลัง รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
ปีงบประมาณ 2570 เป็นปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ํา ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนที่ทําให้ต้องใช้งบประมาณเพื่อการปรับตัว ป้องกันภัยพิบัติ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องปรับตัวให้ทันสมัย โดยการนําระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพ มีการติดตามและประเมินผล เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณโปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยงบประมาณปี 2570 จะต้องตอบโจทย์ได้ครบ สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลสังคม และการรักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด รัฐบาลได้กําหนดนโยบายสําคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ ออกเป็น 5 ด้าน ดังนี้

1. ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลจะดําเนินมาตรการให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเป็นระบบ โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ควบคู่กับการวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาว ตามนโยบาย “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” หรือ Quick Big Win ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการเติบโตในช่วงไตรมาสที่ 4 ได้แก่ การกระตุ้นกําลังซื้อ โดยเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง พลัส โครงการเที่ยวดีมีคืน การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะทําให้มีเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ํากว่า 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการในการลดภาระหนี้ภาคประชาชนผ่านโครงการแก้หนี้ครัวเรือน การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแก่ SMEs ควบคู่กับการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงการสร้างโอกาสในการดําเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ มาตรการเหล่านี้เป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และลดรายจ่ายให้กับประชาชน รวมถึงเปิดโอกาสให้สามารถรักษาระดับการจ้างงานได้อย่างต่อเนื่อง
สําหรับการลงทุนเพื่ออนาคต มีการสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจไทยให้เติบโตบนเส้นทาง “เศรษฐกิจสีเขียว” รัฐบาลจะบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ยกระดับเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรที่ทันสมัย มีการผลิตที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อลดข้อจํากัดการส่งออก เพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร
การท่องเที่ยว เป็นอีกนโยบายสําคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ สําหรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ได้เริ่มดําเนินการไปแล้ว คือ โครงการเที่ยวดีมีคืน เพื่อกระจายเม็ดเงินสู่พื้นที่ท้องถิ่น ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะเมืองรองทั่วประเทศ
ด้านการต่างประเทศ รัฐบาลกําลังเร่งเจรจาเพื่อจัดการแก้ไขผลกระทบจากสงครามการค้า รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ให้แล้วเสร็จในปี 2573 ทั้งนี้ OECD เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าให้ดียิ่งขึ้น เมื่อไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD แล้ว ก็จะสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น
ภาคอุตสาหกรรม เป็นอีกฟันเฟืองสําคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี รัฐบาลจะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนการใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ทักษะทั้ง Reskill และ Upskill เพื่อปรับตัวให้ทันกับการแข่งขันและยกระดับธุรกิจ สําหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะมีการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมสําคัญ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล AI Data Center Semiconductor EV พลังงานสะอาด รวมทั้งผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียวที่มีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับในระดับสากล

2. ด้านความมั่นคง รัฐบาลมุ่งเน้นแนวทางสันติวิธี ในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งดําเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก
3. ด้านสังคม จะจัดการกับปัญหาเร่งด่วนอย่าง Scammer หรือการหลอกลวงทางเทคโนโลยี การพนัน ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งการแก้ปัญหาการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ยึดหลักนิติธรรมและความโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน
4. ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยธรรมชาติ เช่น น้ําท่วม เป็นประจํา รวมทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ต้องใช้แนวทางป้องกันก่อนเกิดเหตุ และต้องเร่งเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบภัย ให้กลับสู่วิถีชีวิตปกติโดยเร็ว
“อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี ผมได้ลงพื้นที่น้ําท่วมหลายครั้ง ได้เห็นสภาพปัญหา ปีนี้ประชาชนเผชิญกับปัญหาน้ําท่วมที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ เรื่องการเยียวยา ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการโดยด่วนที่สุด ให้มีความครอบคลุมและทั่วถึง หากหน่วยงานใด ทั้งภาครัฐและเอกชน จะมีการจัดการประชุมหรือจัดงาน event ต่างๆ ขอให้เลือกไปจัดงานในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยเพื่อให้เม็ดเงินไหลเวียนเข้าสู่พื้นที่ให้มากที่สุด”
นอกจากนี้ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นประเด็นสําคัญของทุกประเทศ โดยผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็น 0 ภายในปี 2593 ด้วยการดําเนินมาตรการ ลดการเผาในภาคการเกษตร สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริม การใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล
5. ด้านการบริหารภาครัฐ ปฏิรูปกฎหมาย มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล การให้บริการต่าง ๆ ต้องมีความสะดวก รวดเร็ว มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส อํานวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนและประชาชน รวมทั้งปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิก กฎหมาย กฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นอกเหนือจากนโยบาย 5 ด้าน ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลให้ความสําคัญกับการวางรากฐานของประเทศ ซึ่งเป็นการลงทุนกับอนาคตในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า รากฐานที่สําคัญที่สุด คือ “คนไทยคุณภาพ” เราจะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกคน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ที่ต้องคิดใหม่ ทําใหม่ ที่ผ่านมา พูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษามานาน ต้องไม่คิดเพียงการศึกษาในห้องเรียนอีกต่อไป แต่ต้องสร้างระบบที่จะพัฒนาศักยภาพคนไทยได้ตลอดช่วงชีวิต ประเทศต้องมีกลยุทธ์ และกลไกที่ชัดเจน เชื่อมการเรียนรู้เข้ากับอาชีพ รายได้ และอนาคตที่มั่นคง พร้อมลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ํา ทั้งด้านคุณภาพการศึกษา มาตรฐานสถานศึกษา และโอกาสในการเข้าถึงของคนไทยทุกกลุ่ม

ระบบสุขภาพของประเทศไทย ได้รับคําชื่นชมจากนานาชาติว่าเป็นระบบที่ดี ทั่วถึง และเท่าเทียม เป็นไปด้วยคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ รัฐบาลจะให้การสนับสนุนและส่งเสริมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการระดับปฐมภูมิ การใช้เทคโนโลยี เพื่ออํานวยความสะดวก การยกระดับการดูแลสุขภาพเชิงรุก การป้องกันและจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี การจัดระบบดูแลผู้สูงอายุรองรับสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และที่สําคัญการส่งเสริมการตั้งท้องและการเกิดคุณภาพ เพื่อเป็นกําลังของประเทศในอนาคต
“รัฐบาลจะส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้รองรับกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงกันทั้งทางอากาศ ราง ถนน และทางน้ํา อีกทั้งยังสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทดแทน และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพ ครอบคลุม เพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง”
การดําเนินการดังกล่าวข้างต้นได้ถูกกําหนดไว้โดยละเอียดในยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ครอบคลุมทุกประเด็น ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานทางการคลัง เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน มุ่งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Pro-Growth Budget Initiative) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนําเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนวิธีการดําเนินงานในด้านต่างๆ ให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่าย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลเผชิญกับปัญหาในทั้ง 4 ด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และภัยธรรมชาติ ซึ่งการแก้ไขปัญหาภัยทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ดําเนินไปแล้ว เช่น นโยบายที่เกี่ยวข้องกับ Quick Big Win เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เรียกความผาสุกของประชาชนกลับคืนมา ส่วนภัยทางด้านความมั่นคงนั้น รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนด้านความมั่นคง ปกป้องอธิปไตยของประเทศ แม้หากจะต้องสู้ ก็จะต้องชนะอย่างเดียว รวมทั้งปัญหาจากภัยยาเสพติดและปัญหาจากสแกมเมอร์ ตลอดจนภัยจากธรรมชาติ ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่ขอรับงบประมาณช่วยนําภัยทั้ง 4 ไปพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณให้สอดรับทั้งใกล้และไกลด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มว่า เนื่องจากสถานการณ์ภาคการคลังของประเทศไทยส่งสัญญาณเตือนหลายด้าน สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 17 ในปี 2536 เหลือร้อยละ 15 โดยประมาณในปี 2568 ในขณะที่สัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลําดับ โดยรายจ่ายประจํามีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 70-80 ของภาพรวมรายจ่ายรัฐบาล ดังนั้น รัฐบาลจึงมุ่งเน้นฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง พ.ศ. 2570 – 2573 โดยได้กําหนดเป้าหมายที่จะปรับลดการขาดดุลงบประมาณไม่เกินร้อยละ 3 ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 และควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะให้ไม่เกิน 70% ต่อ GDP จึงขอให้ช่วยกันบริหารการใช้จ่ายงบประมาณ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องเจอวิกฤติการเงินการคลังในอนาคต ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ได้กําหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้จํานวน 3.788 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2569 เพียง 7,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ในขณะที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายผูกพัน และรายจ่ายที่จําเป็นต้องจ่ายจํานวนมาก

“ในการขอรับการจัดสรรงบประมาณ ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณาจัดทําคําขอฯ ให้มีประสิทธิภาพและไม่ควรเพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 20 ของ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นควรเป็นรายจ่ายลงทุน และต้องไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจําที่เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ด้วยข้อจํากัดของวงเงินงบประมาณ ขอให้ร่วมมือกันปรับเปลี่ยนการทํางานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทรัพยากรที่จํากัด การใช้งบประมาณต้องมีความโปร่งใส คุ้มค่า และต้องเกิด ประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน”
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า เนื่องจากรายจ่ายประจําเพิ่มขึ้นสูงมาก ขอให้เข้มงวดรายจ่ายประจําให้ขอเฉพาะเท่าที่จําเป็นจริง ๆ เท่านั้น ต้องช่วยกันเพิ่มประสิทธิภาพ จะได้มีเม็ดเงินเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ขอให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาการใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่นที่สามารถดําเนินการได้ตามกฎหมาย เพื่อลดภาระงบประมาณในอนาคต เช่น เงินกู้ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) หรือสําหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดําเนินโครงการในอนาคต รวมทั้งพิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFFIF) และให้ทุกหน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ พิจารณานําเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ และเงินสะสม มาใช้ในการดําเนินภารกิจก่อนเป็นลําดับแรก
ท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลจะยึดหลักการสําคัญ 3 ประการในการทํางาน คือ 1. พิทักษ์ รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2. ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 3. ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการ บนหลักธรรมาภิบาล นายกรัฐมนตรีหวังว่าจะร่วมมือกันทําภารกิจสําคัญนี้ให้สําเร็จลุล่วง เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 15:47 6 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 15:33 25 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 15:13 69 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 15:08 35 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 15:02 51 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 14:53 73 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 14:16 50 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 13:57 61 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 13:55 48 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 13:31 102 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 12:22 96 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 12:08 119 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 11:40 110 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 11:28 89 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 11:25 109 views
ข่าว
1 ธ.ค. 2568 10:47 111 views