×
Live หน้าหลัก ทันเหตุการณ์ ทั่วไป ข่าวพระราชสำนัก คุณภาพชีวิต อาชญากรรม อาชญากรรมและมิจฉาชีพ เศรษฐกิจ ต่างประเทศ กีฬา สิ่งแวดล้อม ทหาร การเมือง ภูมิภาค บทความ บันเทิง Life แฟชั่นและความงาม อาหารและสุขภาพ ไอที ท่องเที่ยวและวัฒนธรรม การเงินและการลงทุน โชคชะตาและความเชื่อ กิจกรรม ททบ. กิจกรรม ทบ. แนะนำรายการ หน่วยงานและเอกชน พอดแคสด์ FM94 ศูนย์ข่าววิทยุ ติดต่อเรา

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2568

?>

นายกฯมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณปี 2570 มุ่งสร้างสมดุลระหว่าง “พัฒนาเศรษฐกิจ - ดูแลสังคม –รักษาวินัยการคลัง”

 1 ธ.ค. 2568 13:31 | 101 view

 @pracha

Facebook X Share

นายกฯมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณปี 2570 มุ่งสร้างสมดุลระหว่าง “พัฒนาเศรษฐกิจ - ดูแลสังคม –รักษาวินัยการคลัง” ย้ําการพิจารณาจัดทําคําขอฯ ไม่ควรเกินร้อยละ 20 หนุนภาครัฐ-เอกชน จัดประชุม/Event ในพื้นที่ที่เคยเกิดอุทกภัย

วันนี้ (1 ธ.ค. 68) เวลา 10.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้เป็นโอกาสสําคัญในการมอบนโยบายเพื่อจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 เพื่อให้รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายสําคัญ ทั้งการจัดการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน และการวางรากฐานสําคัญสําหรับประเทศไทย รัฐบาลได้กําหนดนโยบายการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2570 โดยยึดแนวทางจากแผนการคลังระยะปานกลาง (ปี 2570 – 2573) ซึ่งในปีนี้แม้จะยังเป็นงบประมาณแบบขาดดุล แต่รัฐบาลตั้งใจลดการขาดดุลงบประมาณลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต และรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยอยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลัง รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

ปีงบประมาณ 2570 เป็นปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ํา ผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนที่ทําให้ต้องใช้งบประมาณเพื่อการปรับตัว ป้องกันภัยพิบัติ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันภาครัฐต้องปรับตัวให้ทันสมัย โดยการนําระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพ มีการติดตามและประเมินผล เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณโปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยงบประมาณปี 2570 จะต้องตอบโจทย์ได้ครบ สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลสังคม และการรักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด รัฐบาลได้กําหนดนโยบายสําคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ ออกเป็น 5 ด้าน ดังนี้

1. ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลจะดําเนินมาตรการให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเป็นระบบ โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ควบคู่กับการวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาว ตามนโยบาย “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” หรือ Quick Big Win ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นการเติบโตในช่วงไตรมาสที่ 4 ได้แก่ การกระตุ้นกําลังซื้อ โดยเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง พลัส โครงการเที่ยวดีมีคืน การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะทําให้มีเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ํากว่า 1 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการในการลดภาระหนี้ภาคประชาชนผ่านโครงการแก้หนี้ครัวเรือน การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแก่ SMEs ควบคู่กับการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงการสร้างโอกาสในการดําเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ มาตรการเหล่านี้เป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการ และลดรายจ่ายให้กับประชาชน รวมถึงเปิดโอกาสให้สามารถรักษาระดับการจ้างงานได้อย่างต่อเนื่อง

สําหรับการลงทุนเพื่ออนาคต มีการสนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ด้านความยั่งยืน เพื่อยกระดับศักยภาพธุรกิจไทยให้เติบโตบนเส้นทาง “เศรษฐกิจสีเขียว” รัฐบาลจะบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ยกระดับเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรที่ทันสมัย มีการผลิตที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เพื่อลดข้อจํากัดการส่งออก เพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกร

การท่องเที่ยว เป็นอีกนโยบายสําคัญในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ สําหรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ได้เริ่มดําเนินการไปแล้ว คือ โครงการเที่ยวดีมีคืน เพื่อกระจายเม็ดเงินสู่พื้นที่ท้องถิ่น ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะเมืองรองทั่วประเทศ

ด้านการต่างประเทศ รัฐบาลกําลังเร่งเจรจาเพื่อจัดการแก้ไขผลกระทบจากสงครามการค้า รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ให้แล้วเสร็จในปี 2573 ทั้งนี้ OECD เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าให้ดียิ่งขึ้น เมื่อไทยเข้าเป็นสมาชิก OECD แล้ว ก็จะสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น

ภาคอุตสาหกรรม เป็นอีกฟันเฟืองสําคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี รัฐบาลจะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนการใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ทักษะทั้ง Reskill และ Upskill เพื่อปรับตัวให้ทันกับการแข่งขันและยกระดับธุรกิจ สําหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะมีการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมสําคัญ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล AI Data Center Semiconductor EV พลังงานสะอาด รวมทั้งผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียวที่มีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับในระดับสากล

2. ด้านความมั่นคง รัฐบาลมุ่งเน้นแนวทางสันติวิธี ในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งดําเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีโลก

3. ด้านสังคม จะจัดการกับปัญหาเร่งด่วนอย่าง Scammer หรือการหลอกลวงทางเทคโนโลยี การพนัน ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งการแก้ปัญหาการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง ยึดหลักนิติธรรมและความโปร่งใส เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน

4. ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยธรรมชาติ เช่น น้ําท่วม เป็นประจํา รวมทั้งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ต้องใช้แนวทางป้องกันก่อนเกิดเหตุ และต้องเร่งเยียวยาและฟื้นฟูผู้ประสบภัย ให้กลับสู่วิถีชีวิตปกติโดยเร็ว

“อย่างที่ทุกท่านทราบกันดี ผมได้ลงพื้นที่น้ําท่วมหลายครั้ง ได้เห็นสภาพปัญหา ปีนี้ประชาชนเผชิญกับปัญหาน้ําท่วมที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ เรื่องการเยียวยา ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการโดยด่วนที่สุด ให้มีความครอบคลุมและทั่วถึง หากหน่วยงานใด ทั้งภาครัฐและเอกชน จะมีการจัดการประชุมหรือจัดงาน event ต่างๆ ขอให้เลือกไปจัดงานในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยเพื่อให้เม็ดเงินไหลเวียนเข้าสู่พื้นที่ให้มากที่สุด”

นอกจากนี้ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นประเด็นสําคัญของทุกประเทศ โดยผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็น 0 ภายในปี 2593 ด้วยการดําเนินมาตรการ ลดการเผาในภาคการเกษตร สร้างความมั่นคงทางพลังงาน ส่งเสริม การใช้พลังงานสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล

5. ด้านการบริหารภาครัฐ ปฏิรูปกฎหมาย มุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล การให้บริการต่าง ๆ ต้องมีความสะดวก รวดเร็ว มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส อํานวยความสะดวกให้กับภาคเอกชนและประชาชน รวมทั้งปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิก กฎหมาย กฎระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นอกเหนือจากนโยบาย 5 ด้าน ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลให้ความสําคัญกับการวางรากฐานของประเทศ ซึ่งเป็นการลงทุนกับอนาคตในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า รากฐานที่สําคัญที่สุด คือ “คนไทยคุณภาพ” เราจะต้องเร่งพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกคน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ที่ต้องคิดใหม่ ทําใหม่ ที่ผ่านมา พูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษามานาน ต้องไม่คิดเพียงการศึกษาในห้องเรียนอีกต่อไป แต่ต้องสร้างระบบที่จะพัฒนาศักยภาพคนไทยได้ตลอดช่วงชีวิต ประเทศต้องมีกลยุทธ์ และกลไกที่ชัดเจน เชื่อมการเรียนรู้เข้ากับอาชีพ รายได้ และอนาคตที่มั่นคง พร้อมลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ํา ทั้งด้านคุณภาพการศึกษา มาตรฐานสถานศึกษา และโอกาสในการเข้าถึงของคนไทยทุกกลุ่ม

ระบบสุขภาพของประเทศไทย ได้รับคําชื่นชมจากนานาชาติว่าเป็นระบบที่ดี ทั่วถึง และเท่าเทียม เป็นไปด้วยคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ รัฐบาลจะให้การสนับสนุนและส่งเสริมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการระดับปฐมภูมิ การใช้เทคโนโลยี เพื่ออํานวยความสะดวก การยกระดับการดูแลสุขภาพเชิงรุก การป้องกันและจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี การจัดระบบดูแลผู้สูงอายุรองรับสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ และที่สําคัญการส่งเสริมการตั้งท้องและการเกิดคุณภาพ เพื่อเป็นกําลังของประเทศในอนาคต

“รัฐบาลจะส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้รองรับกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะระบบคมนาคมและโลจิสติกส์ให้เชื่อมโยงกันทั้งทางอากาศ ราง ถนน และทางน้ํา อีกทั้งยังสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทดแทน และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ด้านดิจิทัลที่มีคุณภาพ ครอบคลุม เพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง”

การดําเนินการดังกล่าวข้างต้นได้ถูกกําหนดไว้โดยละเอียดในยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ครอบคลุมทุกประเด็น ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานทางการคลัง เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน มุ่งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Pro-Growth Budget Initiative) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนําเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนวิธีการดําเนินงานในด้านต่างๆ ให้สะดวกและรวดเร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่าย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลเผชิญกับปัญหาในทั้ง 4 ด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และภัยธรรมชาติ ซึ่งการแก้ไขปัญหาภัยทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ดําเนินไปแล้ว เช่น นโยบายที่เกี่ยวข้องกับ Quick Big Win เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เรียกความผาสุกของประชาชนกลับคืนมา ส่วนภัยทางด้านความมั่นคงนั้น รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนด้านความมั่นคง ปกป้องอธิปไตยของประเทศ แม้หากจะต้องสู้ ก็จะต้องชนะอย่างเดียว รวมทั้งปัญหาจากภัยยาเสพติดและปัญหาจากสแกมเมอร์ ตลอดจนภัยจากธรรมชาติ ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่ขอรับงบประมาณช่วยนําภัยทั้ง 4 ไปพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณให้สอดรับทั้งใกล้และไกลด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มว่า เนื่องจากสถานการณ์ภาคการคลังของประเทศไทยส่งสัญญาณเตือนหลายด้าน สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 17 ในปี 2536 เหลือร้อยละ 15 โดยประมาณในปี 2568 ในขณะที่สัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลําดับ โดยรายจ่ายประจํามีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 70-80 ของภาพรวมรายจ่ายรัฐบาล ดังนั้น รัฐบาลจึงมุ่งเน้นฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง พ.ศ. 2570 – 2573 โดยได้กําหนดเป้าหมายที่จะปรับลดการขาดดุลงบประมาณไม่เกินร้อยละ 3 ของ GDP ภายในปีงบประมาณ 2572 และควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะให้ไม่เกิน 70% ต่อ GDP จึงขอให้ช่วยกันบริหารการใช้จ่ายงบประมาณ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องเจอวิกฤติการเงินการคลังในอนาคต ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ได้กําหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้จํานวน 3.788 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปี 2569 เพียง 7,400 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.2 ในขณะที่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายผูกพัน และรายจ่ายที่จําเป็นต้องจ่ายจํานวนมาก

“ในการขอรับการจัดสรรงบประมาณ ขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณาจัดทําคําขอฯ ให้มีประสิทธิภาพและไม่ควรเพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 20 ของ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2569 โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นควรเป็นรายจ่ายลงทุน และต้องไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจําที่เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ด้วยข้อจํากัดของวงเงินงบประมาณ ขอให้ร่วมมือกันปรับเปลี่ยนการทํางานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทรัพยากรที่จํากัด การใช้งบประมาณต้องมีความโปร่งใส คุ้มค่า และต้องเกิด ประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน”

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า เนื่องจากรายจ่ายประจําเพิ่มขึ้นสูงมาก ขอให้เข้มงวดรายจ่ายประจําให้ขอเฉพาะเท่าที่จําเป็นจริง ๆ เท่านั้น ต้องช่วยกันเพิ่มประสิทธิภาพ จะได้มีเม็ดเงินเพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ขอให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาการใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่นที่สามารถดําเนินการได้ตามกฎหมาย เพื่อลดภาระงบประมาณในอนาคต เช่น เงินกู้ การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnership : PPP) หรือสําหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดําเนินโครงการในอนาคต รวมทั้งพิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund : TFFIF) และให้ทุกหน่วยงานที่มีเงินนอกงบประมาณ พิจารณานําเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ และเงินสะสม มาใช้ในการดําเนินภารกิจก่อนเป็นลําดับแรก

ท้ายนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลจะยึดหลักการสําคัญ 3 ประการในการทํางาน คือ 1. พิทักษ์ รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2. ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 3. ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการ บนหลักธรรมาภิบาล นายกรัฐมนตรีหวังว่าจะร่วมมือกันทําภารกิจสําคัญนี้ให้สําเร็จลุล่วง เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป

เป็นเพื่อนกับบัญชีทางการ LINE ของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุดและอีกมากมาย!

เพิ่มเพื่อน

ทันเหตุการณ์

ข่าว

SME D Bank คลอด 2 มาตรการเร่งด่วน ช่วยเหลือเอสเอ็มอีภาคใต้ฝ่าวิกฤตอุทกภัย

1 ธ.ค. 2568 15:47 6 views

ข่าว

กองทัพภาคที่ 2 โต้ สยบข่าวลือสนั่นโซเชียล "ไม่มีทหารกัมพูชายึดผาอินทรีย์"

1 ธ.ค. 2568 15:33 25 views

ข่าว

ส่องอสังหาฯหาดใหญ่ หลังน้ําท่วม คาดใช้เวลา 6-12 เดือนฟื้นตัว ชี้คอนโดจะเร็วกว่าแนวราบ

1 ธ.ค. 2568 15:13 69 views

ข่าว

ทหารเร่งฟื้นฟูรอบโรงพยาบาลหาดใหญ่หลังน้ําลด คืบกว่า 70% เตรียมเปิดรับผู้ป่วยฉุกเฉิน 

1 ธ.ค. 2568 15:08 35 views

ข่าว

กกต. ระบุ นักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยภัยพิบัติได้ไม่อั้น เตรียมออกระเบียบนโยบายหาเสียงใหม่

1 ธ.ค. 2568 15:02 51 views

ข่าว

“ศป.กฉ.” เผย วันนี้ผู้ประสบภัยได้เงินเยียวยา 9,000 บาท ชุดแรก 2.6 หมื่นครัวเรือนได้เงิน

1 ธ.ค. 2568 14:53 73 views

ข่าว

บิ๊กโจ๊ก ลั่นรัฐบาลบริหารจัดการน้ําท่วมหาดใหญ่ล้มเหลว แถมแจงตัวเลขผู้เสียชีวิตบิดเบือน พร้อมเสนอเยียวยาผู้เสียชีวิตทุกรายจากผลกระทบน้ําท่วมคนละ 2 ล้านบาท

1 ธ.ค. 2568 14:16 50 views

ข่าว

ผบ.ทบ. นํากําลังพลร่วมกิจกรรมจิตอาสา "เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ" น้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

1 ธ.ค. 2568 13:57 61 views

ข่าว

เจาะลึกตารางคัมแบ็ก K-Pop  ธ.ค. ศึกระหว่างไอดอลในตํานานกับรุ่นใหม่

1 ธ.ค. 2568 13:55 48 views

ข่าว

นายกฯมอบนโยบายการจัดทํางบประมาณปี 2570 มุ่งสร้างสมดุลระหว่าง “พัฒนาเศรษฐกิจ - ดูแลสังคม –รักษาวินัยการคลัง”

1 ธ.ค. 2568 13:31 102 views

ข่าว

เดือดทั่วเมือง ฟิลิปปินส์ประท้วงไล่ปธน. ปมทุจริตโครงการน้ําท่วม

1 ธ.ค. 2568 12:22 96 views

ข่าว

น้ําท่วมอินโดนีเซีย ยอดดับพุ่ง 442 ศพ-สูญหายอีกเพียบ

1 ธ.ค. 2568 12:08 119 views

ข่าว

มทภ.4 กําชับทุกหน่วยระดมกําลังกว่า 400 นาย เร่งฟื้นฟู รพ.หาดใหญ่-ปรับสภาพผิวจราจรให้เสร็จวันนี้

1 ธ.ค. 2568 11:40 110 views

ข่าว

“แบมแบม” ถล่มเวที HOMETOWN จัดเต็มไม่มียั้ง ตบท้ายเพลงดัง GOT7 แบบสุดคุ้ม

1 ธ.ค. 2568 11:28 89 views

ข่าว

ในหลวง พระราชทานถุงยังชีพ ช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้  

1 ธ.ค. 2568 11:25 109 views

ข่าว

ข่าวดี! กกพ.เคาะค่าไฟงวดใหม่ ม.ค.-เม.ย. 69 ลดเหลือ 3.88 บาทต่อหน่วย

1 ธ.ค. 2568 10:47 111 views