โปร่งใส-เป็นธรรม! กลาโหมหารือ กมธ.วิสามัญฯ แจงที่ดิน-สวัสดิการกองทัพ ยันเคารพสิทธิ์ ปชช. พร้อมพัฒนาสู่เชิงธุรกิจ

วันที่ 25 ธ.ค.67 -  พลตรีธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงกลาโหม พลเอกสนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอกไตรศักดิ์ อินทรรัสมี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่น หรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ประธานคณะกรรมาธิการ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือข้อราชการเกี่ยวกับสถานะและบทบาทที่เหมาะสมของกองทัพภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้กองทัพเป็นองค์กรที่มีความเป็นมืออาชีพ มีภารกิจเฉพาะการปกป้องอำนาจอธิปไตยและดินแดนของรัฐจากการรุกรานภายนอก หรือภารกิจด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศเท่านั้น และให้กองทัพในฐานะองค์กรและปัจเจกบุคคลมีบทบาทในกิจการภายในประเทศ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการประกอบกิจการเชิงธุรกิจของกองทัพ เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการหารือในวันนี้ใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โอกาสนี้ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องยุทธนาธิการ ศาลาว่าการกลาโหม กระทรวงกลาโหม

โดยในที่ประชุมได้มีการชี้แจงถึงนโยบายเกี่ยวกับที่ดินที่อยู่ในการดูแลของเหล่าทัพ ซึ่งมีทั้งสิ้นประมาณ 5.9 ล้านไร่ ส่วนใหญ่ใช้เป็นที่ตั้งหน่วย พื้นที่ฝึก และดำเนินการตามภารกิจของกองทัพบก โดยยืนยันว่ากองทัพเคารพสิทธิ์ของประชาชน หากพิสูจน์แล้วว่าประชาชนอยู่มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ ประชาชนสามารถไปออกเอกสารสิทธิ์ตามขั้นตอนได้ แต่หากพบว่าเป็นที่ดินของรัฐ กองทัพก็พร้อมที่จะให้ประชาชนยื่นขอเช่ากับกรมธนารักษ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ในส่วนของที่ดินที่กองทัพไม่ได้ใช้ประโยชน์ ปัจจุบันได้ยินยอมให้กรมธนารักษ์นำพื้นที่ไปจัดให้ประชาชนเช่าเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและทำการเกษตรแล้วจำนวน 16,000 ไร่เศษ และอยู่ระหว่างดำเนินการในระยะที่ 2 อีกประมาณ 59,000 ไร่เศษ

นอกจากนี้ ยังได้มีการนำเสนอถึงแนวทางการดำเนินการจัดสวัสดิการภายในของกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็นสวัสดิการเพิ่มเติมให้แก่กำลังพลและครอบครัว รวมถึงเป็นการรักษาพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย โดยปัจจุบันมีกิจการสวัสดิการขนาดใหญ่จำนวน 152 กิจการ แบ่งเป็นกิจการสวัสดิการในเชิงธุรกิจ จำนวน 86 กิจการ ซึ่งได้ดำเนินการทำบันทึกข้อตกลงเช่าที่ราชพัสดุกับกรมธนารักษ์เรียบร้อยแล้ว และกิจการสวัสดิการภายในอีก 66 กิจการ

ในช่วงท้าย นายภูมิธรรม ได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และยืนยันว่ากระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพจะนำข้อมูลและข้อเสนอแนะไปพิจารณาศึกษาถึงรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อให้การดำเนินงานของกองทัพเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน โดยจะมีการนัดหารือกันอีกครั้งในโอกาสต่อไป