มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ผนึกกำลังภูฏาน จัด "เทศกาลอาหารไทย 2025" ชู Soft Power เชื่อมวัฒนธรรม ต่อยอดความร่วมมือการศึกษา-ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
 
ทิมพู, ภูฏาน – มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เดินหน้าสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการศึกษาและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จัดงาน “เทศกาลอาหารไทย 2025: รสชาติแบบไทย ความอบอุ่นแห่งภูฏาน" ณ กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ อาจารย์ภูรัตน์ โอสถานุเคราะห์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในเวทีสากล
โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ Royal Institute for Tourism and Hospitality (RITH) ของภูฏาน ภายใต้การนำของ อาจารย์เจิมสุดา มานะกุล คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว พร้อมทีมคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและนักศึกษา เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านอาหารไทยในรูปแบบที่ยั่งยืน

ก่อนการจัดเทศกาล ได้มีการจัดโครงการฝึกอบรมการทำอาหารไทยระยะเวลา 5 วัน ให้แก่บุคลากรจากโรงแรมและร้านอาหารในภูฏาน รวมถึงคณาจารย์และนักศึกษาจาก RITH โดยเน้นการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นของภูฏานเข้ากับเทคนิคการทำอาหารไทยอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งผู้เข้าอบรมทุกคนได้รับประกาศนียบัตรที่รับรองโดยทั้งสองสถาบัน ถือเป็นการส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้ (SDG 4)

อาจารย์เจิมสุดา มานะกุล กล่าวว่า "โครงการนี้เป็นมากกว่าการแลกเปลี่ยนทางการทำอาหาร แต่คือการเดินทางร่วมกันของการเรียนรู้ การชื่นชมวัฒนธรรม และมิตรภาพ หวังว่าความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปันจะสร้างแรงบันดาลใจและเสริมพลังให้กับทุกคน"

เทศกาลอาหารไทยซึ่งจัดขึ้น 2 วัน ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยได้รับเกียรติจาก ท่านรัฐมนตรี ยีซัง เด ตาปา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการศึกษาและพัฒนาทักษะของภูฏาน เป็นประธานในพิธีเปิด สะท้อนถึงการสนับสนุนระดับนโยบายที่มุ่งสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมบริการของภูฏาน สร้างงานที่มีคุณภาพและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ (SDG 8)

หัวใจของงานคือการนำเสนอเมนูอาหารไทยที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของภูฏาน ไม่ว่าจะเป็น ต้มยำ Crawfish และ ผัดกระเพรา Sikum (เนื้อท้องถิ่น) ควบคู่ไปกับเมนูไทยแท้อย่าง ช่อม่วง ยำวุ้นเส้นโบราณ และต้มข่าไก่ การสร้างสรรค์เมนูเหล่านี้ไม่เพียงสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรท้องถิ่น แต่ยังสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

ความสำเร็จครั้งนี้อยู่ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ที่มุ่งสร้างความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา (SDG 17) และเป็นบทพิสูจน์ถึงพลังของ Soft Power ด้านอาหารที่ใช้เป็น "สะพานเชื่อมวัฒนธรรม" สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างสองประเทศ และเป็นต้นแบบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียต่อไป