วันพุธที่ 30 กรกฎาคม 2568
29 ก.ค. 2568 16:19 | 281 view
@supakitt
สรุปความผิดการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศของฝ่ายกัมพูชา กรณีการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและการปะทะตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา
ตั้งแต่ 24 - 28 ก.ค.68
บทความพิเศษ โดย พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์ ที่ปรึกษาทรงคุณวุฒิคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร/ อดีตที่ปรึกษาพิเศษส านักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตรองเจ้ากรมพระธรรมนูญ
ตามที่ทหารกัมพูชาได้ลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในดินแดนประเทศไทยจนส่งผล
ให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บหลายนายขณะลาดตระเวน ซึ่งเดิมไม่มีทุ่นระเบิดดังกล่าวเนื่องจากเป็น
เส้นทางที่ทหารไทยเคยลาดตระเวนมาก่อน ต่อมาทหารกัมพูชาได้เริ่มใช้อาวุธโจมตีหน่วยที่ตั้งทางทหารของไทย ตลอดจนบ้านเรือนของประชาชน โรงพยาบาล และสถานีบริการน้ำมันในดินแดนไทยตามแนว ชายแดนตั้งแต่ 24 ก.ค.68 จนถึง 28 ก.ค.68 ส่งผลให้ประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบ เสียชีวิตและบาดเจ็บจ านวนหนึ่ง ตลอดจนทรัพย์สินของประชาชนและสถานประกอบธุรกิจดังกล่าวได้รับความเสียหาย รวมทั้งการที่ทหารกัมพูชาโจมตีปราสาทตาเมืองธม และใช้ปราสาทพระวิหารเพื่อประโยชน์ทางทหาร ซึ่งมีพยานหลักฐานเป็นที่ประจักษ์สามารถตรวจสอบได้นั้น
สรุปการกระทำของทหารกัมพูชา ละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศได้ดังนี้
1. ทหารกัมพูชาเป็นผู้เริ่มใช้อาวุธยิงเข้ามายังหน่วยหรือฐานที่ตั้งทางทหารของทหารไทยในดินแดนไทยก่อน ซึ่งเป็นการละเมิดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2 (4) สรุปได้ว่า รัฐสมาชิกทั้งปวงจักต้องละเว้นการคุกคามหรือการใชกำลังต่อบูรณภาพ แห่งอาณาเขต หรือเอกราชทางการเมืองของรัฐใดๆ หรือ การกระทำในลักษณะการอื่นใดที่ไม่สอดคล้องกับความมุ่งหมายของสหประชาชาติ ซึ่งประสงค์ธำรงไว้ ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ โดยการกระทำของทหารกัมพูชาไม่ได้เป็นการป้องกันตนเองแต่อย่างใด แต่การใช้กำลังอาวุธของทหารไทยเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนเองจากการที่ถูกโจมตีด้วยกำลังอาวุธจากทหารกัมพูชาก่อน ตามข้อ 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเป็นสมาชิกสหประชาชาติ
2. ความผิดอาชญากรรมสงคราม (War Crime) ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานความผิดภายใต้ธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) โดยทหารกัมพูชาได้ใช้อาวุธโจมตีทำลายชีวิตและทรัพย์สินของพลเรือนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรบ โรงเรียน และโรงพยาบาล ส่งผลให้พลเรือนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง บ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และสถานประกอบการธุรกิจ (สถานีบริการน้ำมัน) ได้รับความเสียหาย สรุปฐานความผิดอาชญากรรมสงคราม (War Crime) ตามที่ระบุไว้ใน ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (Rome Statute of the International Criminal Court) คือ การกระทำละเมิดกฎหมายและจารีตประเพณีการทำสงครามอย่างร้ายแรง โดยมุ่งเอาผิดกับปัจเจกบุคคล (ไม่ใช่รัฐ) ที่ก่ออาชญากรรมดังกล่าวในระหว่างการขัดกันทางอาวุธในระดับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อได้กระท าขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการหรือนโยบาย ตัวอย่างการกระทำความผิด เช่น การจงใจโจมตีประชากรพลเรือน หรือพลเรือนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในการสู้รบ การจงใจโจมตีเป้าหมายที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร เช่น บ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล ศาสนสถาน และโบราณสถาน เป็นต้น ประเทศกัมพูชาเป็นภาคีธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ ส่วนประเทศไทยลงนามแต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน ประเทศไทยจึงยังไม่เป็นภาคีธรรมนูญศาลนี้
3. ความผิดฐานรุกราน (Aggression) เป็นหนึ่งในฐานความผิดภายใต้ธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ นิยามของ "อาชญากรรมรุกราน" ตามธรรมนูญกรุงโรมฯ นิยามและเงื่อนไขของอาชญากรรมรุกรานไม่ได้อยู่ในธรรมนูญกรุงโรมฉบับดั้งเดิมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 แต่ได้ถูกเพิ่มเติมและนิยามอย่างเป็นทางการโดย Kampala Amendments ซึ่งได้ประชุม ณ กรุงกัมปาลา ประเทศอูกันดา เมื่อปี พ.ศ.2553 และศาลฯ เริ่มมีเขตอำนาจเหนืออาชญากรรมนี้อย่างสมบูรณ์ใน 17 ก.ค.61 โดยได้เพิ่มเติมดังนี้
"อาชญากรรมรุกราน" หมายถึง การวางแผน (planning) การตระเตรียม (preparation) การริเริ่ม (initiation) หรือการปฏิบัติการ (execution) โดยบุคคลซึ่งอยู่ในฐานะที่สามารถควบคุมหรือสั่งการทางการเมืองหรือการทหารของรัฐได้อย่างแท้จริง ซึ่งการกระทำอันเป็นการรุกรานโดยลักษณะ ความร้ายแรง และขนาดของการกระทำนั้น ถือเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างชัดแจ้ง (Manifest Violation) ลักษณะส าคัญของอาชญากรรมรุกราน คือ เป็นอาชญากรรมของผู้นำ (Leadership Crime) ความผิดนี้ไม่สามารถเอาผิดกับทหารระดับปฏิบัติการได้ แต่จะมุ่งเป้าไปที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจระดับสูงทางการเมืองหรือการทหารเท่านั้น และต้องเป็นการละเมิดที่ชัดแจ้ง (Manifest Violation) ไม่ใช่การใช้กำลังทุกกรณีที่จะเข้าข่าย แต่ต้องเป็นการใช้กำลังที่ร้ายแรงและขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเห็นได้ชัด ส่วน"การกระทำอันเป็นการรุกราน" หมายถึง การใช้กำลังรบโดยรัฐหนึ่งต่ออธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน หรือความเป็นอิสระทางการเมืองของอีกรัฐหนึ่ง หรือในลักษณะอื่นใดที่ไม่สอดคล้องกับกฎบัตรสหประชาชาติ การกระทำใด ๆ ดังต่อไปนี้ แม้จะไม่มีการประกาศสงครามก็ตาม ให้ถือว่าเป็นการกระทำอันเป็นการรุกราน ตามข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 3314 (XXIX) ลง 14 ธ.ค.17 สรุปในส่วน
ที่เกี่ยวข้องดังนี้ การรุกรานหรือการโจมตีดินแดนของอีกรัฐหนึ่งโดยกำลังรบของรัฐหนึ่ง และการใช้อาวุธใด ๆ โดยรัฐหนึ่งต่อดินแดนของอีกรัฐหนึ่ง ตลอดจนการโจมตีโดยกำลังรบของรัฐหนึ่งต่อกองกำลังภาคพื้นดินของอีกรัฐหนึ่ง
4. การโจมตีทำลายทรัพย์สินทางวัฒนธรรมและการใช้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเพื่อประโยชน์ทางทหาร ซึ่งเป็นข้อห้ามตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีการขัดกันด้วยอาวุธ (Convention for the Protection of Cultural Property in the Event of Armed Conflict) และอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ (Convention concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage) ซึ่งทหารกัมพูชาได้ใช้อาวุธโจมตีปราสาทตาเมืองธม และใช้ปราสาทพระวิหารเป็นที่ซุ่มยิงทหารไทย ทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเป็นภาคีอนุสัญญาทั้งสองฉบับในข้อนี้ โดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organisation : UNESCO) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบให้รัฐสมาชิกปฏิบัติตามอนุสัญญาทั้งสองฉบับ
5. การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในดินแดนไทยละเมิดต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
(Anti-Personnel Mine Ban Convention) ซึ่งห้ามใช้ พัฒนา ผลิต และสะสม จัดเก็บ และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไปให้ผู้ใดทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนทั้งทำลายและเก็บกู้ กับให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งทหารกัมพูชาได้เข้ามาวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในดินแดนไทยตามที่กล่าวข้างต้น นอกจากนี้ภายใต้อนุสัญญานี้ทหารกัมพูชาก็ไม่สามารถวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในดินแดนของตนเองได้เช่นกัน ทั้งประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเป็นภาคีอนุสัญญาในข้อนี้ ซึ่งเลขาธิการสหประชาชาติเป็นผู้เก็บรักษาอนุสัญญานี้
สรุป ในชั้นนี้สามารถรวบรวมกระทำการต่างๆ ของฝ่ายกัมพูชาที่ละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลผูกพันประเทศกัมพูชา รวมทั้งสิ้น 5 ประการ โดยมีพยานหลักฐานชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมกันพิจารณาว่า สมควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ทั้งการดำเนินการภายในประเทศและการดำเนินการต่างประเทศ เช่น การเผยแพร่ให้ประชาชนชาวไทยทราบ และการนำเสนอให้สหประชาชาติ (คณะมนตรีความมั่นคง และสมัชชาใหญ่) ศาลอาญาระหว่างประเทศ องค์การ UNESCO สหภาพยุโรป (European Union) และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations :ASEAN) ทราบและพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป รวมทั้งเผยแพร่ให้ประชาคมโลกทราบด้วย เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีความเข้าใจดียิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อให้ประชาคมโลกมีความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น และเพื่อปกป้องกับรักษาผลประโยชน์ อำนาจอธิปไตย และบูรณภาพของประเทศชาติ รวมทั้งเพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกอันส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประชาชนและความมั่นคงของชาติ
หมายเหตุ ขอขอบคุณ พันเอก พงษ์ศิริ เผือกใจแผ้ว รองผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ที่ค้นหาข้อมูลกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนผู้เขียนใน การเขียนบทความนี้เป็นอย่างดี ตลอดจนการพิสูจน์อักษร
#ความผิดกัมพูชา #ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ #ชายแดนไทยกัมพูชา #ทุ่นระเบิด #อาชญากรรมสงคราม #กฎบัตรสหประชาชาติ #UNESCO #TruthFromThailand #ไทยกับกัมพูชา #ThailandCambodia #TV5HD #TV5HDONLINE
ข่าว
29 ก.ค. 2568 16:19 282 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 16:09 143 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:55 144 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:47 209 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:46 209 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:33 120 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:33 143 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:26 136 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:22 138 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:19 256 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:17 167 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 15:14 146 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 14:07 217 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 13:16 143 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 13:14 286 views
ข่าว
29 ก.ค. 2568 13:03 155 views