วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม 2568
4 ธ.ค. 2568 10:29 | 86 view
@pracha
ปปง.ยึดทรัพย์บิ๊กล็อต เฉิน จื้อ-ก๊ก อาน-เบน สมิธ มูลค่ากว่า “หมื่นล้าน” ถอนรากถอนโคนแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ
วานนี้ 3 ธ.ค.68 ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ร่วมกับ สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นําโดย นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี, นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี, พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยธ., พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาฯ ปปง. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ “ถอนรากสแกมเมอร์ข้ามชาติ” ตรวจค้นเป้าหมาย 50 เป้าหมาย ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ จับกุมคนไทยพร้อมยึดของกลาง เรือยอช์ต รถหรู ที่ดิน และอายัดเงินในบัญชีรวมกว่า 10,000 ล้านบาท

สืบเนื่องจากการสืบสวนขยายผลและบูรณาการร่วมกันระหว่างสํานักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการฉ้อโกงประชาชน คณะกรรมการธุรกรรมในการประชุมครั้งที่ 13/2568 เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.68 จึงมีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสําคัญ 4 กลุ่มคดีใหญ่ ซึ่งเชื่อมโยงเส้นทางการเงินและการกระทําความผิดในลักษณะองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติอย่างชัดเจน
สําหรับรายละเอียดของคดีที่นํามาสู่การยึดทรัพย์ครั้งใหญ่นี้เริ่มต้นจาก คดี นายเฉิน จื้อ กับพวก ซึ่งเป็นเครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์และค้ามนุษย์ที่มีฐานใหญ่ในกัมพูชา เชื่อมโยงกับกลุ่มบริษัท Prince Holding Group โดยพบพฤติการณ์ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัลและสับเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ต่างๆ ในรูปแบบไฮบริดสแกม คณะกรรมการฯ จึงสั่งยึดทรัพย์สินกว่า 102 รายการ มูลค่าประมาณ 373 ล้านบาท ถัดมาคือ คดี นายก๊ก อาน เจ้าของอาคารหลายแห่งในกัมพูชาที่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีการใช้บัญชีม้าสแกนใบหน้าเพื่อโอนเงินและนําเงินที่ได้มาซื้อทรัพย์สินในไทยให้ผู้อื่นถือครองแทน โดยในคดีนี้มีการยึดทรัพย์สิน 90 รายการ มูลค่าประมาณ 467 ล้านบาท

คดีที่มีมูลค่าความเสียหายและยึดทรัพย์ได้สูงที่สุดคือ คดี น.ส.แตงไทย กับพวก ซึ่งเชื่อมโยงกับ นายยิม เลียก และ นายเบน สมิธ บุคคลใกล้ชิดทายาทผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา โดยมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบความบริสุทธิ์ และโอนเงินหมุนเวียนระหว่างบริษัททั้งในและต่างประเทศอย่างซับซ้อนเพื่ออําพรางธุรกรรม คณะกรรมการฯ จึงมีคําสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินประเภทที่ดิน ห้องชุด และหลักทรัพย์ต่างๆ จํานวน 66 รายการ รวมมูลค่าสูงถึง 9,279 ล้านบาท นอกจากนี้ เลขาธิการ ปปง. ยังได้ใช้อํานาจเร่งด่วนยึดรถหรูเพิ่มเติมอีก 3 คัน ได้แก่ ZEEKR รุ่น 009, FERRARI รุ่น 488 GTB และ PORSCHE รุ่น CAYENNE S E-HYBRID COUPE ซึ่งอยู่ระหว่างการประเมินราคา
ส่วนคดี นายเอื้ออังกูร กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่ชักชวนประชาชนลงทุนเทรดหุ้นผ่านแอปพลิเคชัน ULELA Max โดยสร้างข้อมูลกําไรเท็จเพื่อจูงใจ ก่อนจะนําเงินที่หลอกลวงได้ไปแปลงเป็นเหรียญดิจิทัล (USDT) ส่งต่อไปยังเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยคดีนี้ยึดทรัพย์สิน 31 รายการ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท
ทั้งนี้ คําสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวมีผลชั่วคราวไม่เกิน 90 วัน โดยผู้ถูกยึดทรัพย์หรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคําร้องพร้อมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้มาจากการกระทําความผิด ต่อเลขาธิการ ปปง. ได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งคําสั่ง

ในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว นายอนุทิน เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนซักถามถึงประเด็นความเชื่อมโยงกับบุคคลระดับสูง โดยเฉพาะกรณีที่ นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมว.คลัง และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ารู้จักกับ นายเบน สมิธ หนึ่งในตัวละครสําคัญของเครือข่ายนี้ นายอนุทิน ชี้แจงว่า
การรู้จักกันเป็นการส่วนตัวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่ในทางปฏิบัติ ตนได้มอบนโยบายชัดเจนว่าให้ดูที่การกระทําเป็นหลัก หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร ต้องดําเนินคดีอย่างเคร่งครัดไม่มีการละเว้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีชื่อเสียงเพียงใด โดยยึดหลักการทํางานที่ว่า “ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม” คือไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร แต่ให้ดูพฤติการณ์การกระทําความผิด หากตนไม่ดําเนินการเช่นนี้ ก็จะตกเป็นผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เสียเอง
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังเปิดเผยถึงมาตรการเด็ดขาดต่อกลุ่มทุนสีเทาที่แฝงตัวเข้ามา โดยได้สั่งการไปยังปลัดกระทรวงมหาดไทยให้ดําเนินการ เพิกถอนสัญชาติไทยของ นายยิม เลียก ประธานกรรมการ BIC Bank ธนาคารพาณิชย์กัมพูชา ซึ่งตรวจสอบพบว่าได้สัญชาติไทยมาจากการสมรสกับหญิงไทย (หมวด 6) โดยให้ดําเนินการตามมาตรฐานเดียวกับรายอื่นๆ ที่ถูกเพิกถอนไปก่อนหน้านี้

ตอนท้ายของการแถลง นายอนุทิน ได้กล่าวชื่นชมและให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงาน ทั้งตํารวจ ปปง. ดีอี และกระทรวงยุติธรรม ที่ทุ่มเททํางานหนักท่ามกลางความเสี่ยง พร้อมย้ําว่ารัฐบาลชุดนี้แม้เพิ่งเข้ามาทํางานได้เพียง 8 สัปดาห์ แต่ให้ความสําคัญสูงสุดกับการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉย และจะเดินหน้ากวาดล้างขบวนการเหล่านี้ต่อไปอย่างไม่มีวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงปีใหม่หรือเทศกาลใด
“อาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีการพัฒนาตลอดเวลา เหมือนกับวลี Catch me if you can (จับฉันให้ได้ถ้านายแน่จริง) แต่ในฐานะรัฐบาลและผู้รักษากฎหมาย เราต้องตอบกลับไปว่า I can always catch you (ฉันจับแกได้เสมอ) เราจะไม่หยุดปฏิบัติการเพื่อความปลอดภัยของประชาชนและประเทศชาติ” นายอนุทิน กล่าวทิ้งท้าย
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 11:26 57 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 10:56 59 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 10:29 124 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 10:29 87 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 10:20 66 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 10:05 72 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 09:53 96 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 09:33 70 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 09:32 108 views
ข่าว
4 ธ.ค. 2568 08:58 50 views
ข่าว
3 ธ.ค. 2568 19:55 162 views
ข่าว
3 ธ.ค. 2568 16:40 111 views
ข่าว
3 ธ.ค. 2568 16:25 148 views
ข่าว
3 ธ.ค. 2568 15:59 242 views
ข่าว
3 ธ.ค. 2568 15:29 182 views
ข่าว
3 ธ.ค. 2568 15:23 198 views